Rib Room and Bar Steakhouse รีวิว – เอาใจสายเนื้อ ด้วยเนื้อดี กับวิวกรุงเทพจากชั้น 31 เป็นของแถม ตามเรามา 6 August Journey จะพาไปดินเนอร์มื้อสุดพิเศษที่นี่กันค่ะซิส ขอบอกเลยว่ามื้อนี้โรแมนติกมาก
[icon type=”fa-cutlery” color=”#999999″ size=”16px” style=”circle_thin” link=”” new_window=”true” ] ที่ไหน ยังไง?
ร้านอาหาร: Rib Room and Bar Steakhouse
เวลา: วันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 17.30 – 22.30 น.
ราคา: 500 บาท++
Facebook: https://www.facebook.com/ribroomandbarsteakhouse
Website: https://www.landmarkbangkok.com/rib-room-and-bar
การเดินทาง: BTS สถานี นานา
มีที่จอดรถ: มี
ช่องทางชำระเงิน: ทุกช่องทาง
ดินเนอร์มื้อนี้ผึ้งได้มีโอกาสมาลองเพราะแพ็คเกจ Steakcation มาพักผ่อน พร้อม มื้ออาหาร 3 คอร์สสำหรับ 2 ท่าน ซึ่งมีเนื้อสเต็กชั้นดี ที่ไม่ควรพลาดค่ะซิสสส ช่วงเวลา 17:00 – 18:30 เป็นช่วงเวลาต้องมนต์ของที่นี่จริงๆ สวยแบบในภาพเลย
ลืมเล่าไปค่ะซิส ว่าที่นี่เพิ่ง Renovate ใหม่ ตกแต่งด้วยสีแดงเฟอรารี่ แสดงออกถึงความเซ็กซี่ ร้อนแรง เย้ายวนในบรรยากาศกระทบกับพระอาทิตย์ตกดิน อย่าลืมจองโต๊ะ เพราะที่นี่มีเพียง 64 ที่นั่งเท่านั้น
มาเรียกน้ำย่อยกันก่อนค่ะซิสมสำหรับคอร์สแรกของวัน เราสามารถเลือกได้ว่าจะทานอะไร ระหว่าง Rib room Caesar Salad ที่คลุกเคล้ากันสดๆ จัดหนัก จัดเต็มด้วยเครื่อง วางมาพร้อมปลาแองโชวี่แท้ๆ
ความพิเศษของสลัดจานนี้คือ ทำกันสดๆข้างโต๊ะดินเนอร์ครั้งนี้เลย วัตถุดิบ มีผักสลัดคอส คลุกเคล้ากับน้ำสลัด ในส่วนของน้ำสลัดมี น้ำมันมะกอก มัสตาร์ด มะนาวสด ไข่แดง โรยด้วย ชีทพาเมซาน ,เบคอนอบกรอบ, ขนมปังอบกรอบ และ แองโชวี่ มันดีงามตั้งแต่ผักสดแล้วค่ะซิสสส !!!
สำหรับคอร์สแรก ใครไม่ชอบสลัดเขาก็มี Lobster Bisque ( ซุปกุ้งล็อบสเตอร์หรือล็อบสเตอร์บิสค์ ) มาให้เลือก เป็นซุปครีมข้นสไตล์ฝรั่งเศส ทีมีส่วนผสมของหอมใหญ่ ,แครอท, ต้นกระเทียม ,เซอราลี่, มะเขือเทศ ,ไวน์ขาว และครีม ไฮไลต์จะเป็นเนื้อล็อบสเตอร์ที่เสริฟมาคู่กัน
ทานซุป อย่าลืมที่จะทานขนมปัง ที่เสริฟมาพร้อมเนย บอกเลยว่าขนมปังอร่อยแบบไม่ต้องทาเนยเลยด้วยซ้ำ มีความตัดกับซุปล็อบสเตอร์ร้อนๆได้ดีงามมาก
ก่อนจะเข้าสู่ Main Course ทางห้องอาหารได้เสริฟไอศครีมเพื่อมาปรับลิ้นของเราก่อน มีความเปรี้ยวหวานด้วยความเป็นราสเบอรี่ เสริฟมาพร้อมถ้วยไอศรีมที่คล้ายครกหินอ่อนที่แช่เย็นมาอีกที ที่นี่อาหารจานร้อนก็ร้อนไปถึงภาชนะที่ใส่ ส่วนเย็นก็เย็นเช่นกัน เซอร์ไพรซ์มาก
น่ารักเข้าไปอีกนอกจากภาชนะร้อนเย็น มีดหั่นสเต็กที่นี่ก็แยกเพศ ให้เข้ากับมือของผู้หญิงและผู้ชาย อย่างของผู้หญิงจะเล็กๆมีลวดลายน่ารัก ส่วนของผู้ชายจะไม่มีรวดลาย ใหญ่กว่าเล็กน้อย มีความใส่ใจรายละเอียดสุดๆ
มาแล้วสำหรับ Main Course ของมื้อนี้โดยสามารถเลือกทานได้ 3 เมนู สายเนื้อต้องเมนูนี้ค่ะซิสสส AUSTRALIAN ANGUS BEEF 120 DAYS GRAIN FED ( สเต๊กเนื้อสันในออสเตรเลี่ยน ) ดีมาก ตั้งแต่ความนุ่มของเนื้อ และ การปรุง รวมทั้งผักที่ตกแต่งมากับจาน
เมนูที่สอง ที่เลือกได้คือ SNOW FISH FILLET ( สเต็กปลาหิมะ ) ที่แอบอร่อยกว่าปกติเพราะ กรรมวิธีในการทำเนื้อปลาหิมะที่นำไปทำให้สุกด้วยวิธีการซูวีร์ แบบฝรั่งเศส ทำให้เนื้อปลามีความชุ่มฉ่ำ มากขึ้น แล้วนำมาย่างไฟอย่างพิถีพิถัน เพื่อความหอมมากขึ้น หมักกับซอสมิโสะแล้วนำมาย่างกับน้ำมันมะกอก เสิร์ฟกับซอสพิสตาชิโอ โรยด้วยผงสาหร่ายและ แผ่นบางๆ กรอบ ทำจาก หมึกดำของปลาหมึก
เอาจริงๆตอนนี้คือ อิ่มแล้ว จิบไวน์เบาๆ พร้อมบรรยากาศแสงไฟในกรุงเทพ ก่อนที่จะไปต่อที่ ขนมหวาน มีความรู้สึกอยากทานเนื้ออีกค่ะซิสสส มันอร่อยสมกับความเป็น Steakhouse จริงๆ
มาต่อในส่วนของหวาน สามารถเลือกได้คนละ 1 เมนูจาก 2 เมนู อย่างเมนูแรกเป็น APPLE TART TATIN APPLE TART TATIN ( พายแอปเปิ้ล เสิร์ฟกับไอศครีมวนิลา ) แป้งพัฟอบกรอบกับแอปเปิ้ล ขนมหวานหวานสัญชาติฝรั่งเศส เสิร์ฟกับไอศครีมวานิลลา และซอสช็อคโกแลตซอสเข้มข้น จากสูตรเชฟฟิลิปป์
ส่วนเมนูที่สองเป็น THE “GRAND MARNIER CRÈME BRÛLÉE” ( ครีมบูเล่ ) เป็นของหวานสัญชาติฝรั่งเศส ชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยคัสตาร์ดเนื้อเนียนนุ่มผสมกับเหล้ารสส้ม (GRAND MARNIER) ด้านบนเป็นชั้นคาราเมลแข็งซึ่งได้จากการเผาไหม้ของน้ำตาล และเสิร์ฟกับเบอร์รี่สดนานาชนิด
แล้วมาตกท้ายที่ขนมหวาน ที่ทุกโต๊ะต้องได้ feeling แบบ Afternoon tea ที่เราสามารถเลือกทานได้ พร้อมเสริฟกับชาร้อน หรือ กาแฟร้อน ถูกต้องแล้วที่คืนนี้เราจะพักผ่อนกันที่นี่ค่ะซิสสส แนะนำให้มาลองกันค่ะซิสสส