Site icon 6 AUGUST JOURNEY

สัมผัสวิถีชีวิต “เกาะกลาง” วิถีแบบนี้ที่ “หายาก”

เกาะกลาง

เกาะกลาง – ใครเกิดทันยุคสภากาแฟบ้าง ที่แบบเช้าๆก็จะมีคนในชุมชนมานั่งดื่มกาแฟ พูดคุยกันตามสภากาแฟ ในขณะที่ปัจจุบันคาเฟ่ ร้านกาแฟดีไซน์เก๋ๆ เต็มเมืองไปหมด แต่รู้ไหมทำไมมันไม่เหมือนสภากาแฟ? เพราะสภากาแฟมันมีชีวิตไง…

ที่เกาะกลางมีสภากาแฟ ที่เกาะกลางมีชีวิต ที่เกาะกลางมีกิจกรรมทุกฤดู และที่เกาะกลางมีชีวิตชาวบ้านที่ทำให้เราอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน

เชื่อไหมว่านั่งเรือจากท่าเรือมา 5 นาทีก็ได้สัมผัสวิถีชีวิตน่ารักๆแบบนี้ได้ ด้วยคำที่ว่าคนบนเกาะนี้รู้จักกันหมด คงพอการันตีได้เป็นอย่างดี ว่าที่นี่อบอุ่นขนาดไหน…ตามเรามา 6 August Journey จะพาไปสัมผัสกัน

เตรียมตัวอย่างไรบ้าง ?

1. บนเกาะนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นชาวมุสลิม ดังนั้นการแต่งกายควรมิดชิด ไม่ควรนุ่งสั้น และ แขนกุดจ้า รวมทั้งไม่ควรนำเครื่องดื่มมีแอลกฮอลล์เข้ามาในเกาะจ้า
2. เราขอแนะนำเลยว่าถ้าจะมาควรติดต่อชาวบ้านไว้ล่วงหน้า เพราะกิจกรรมต่างๆจะมีการจัดเตรียมโดยชาวบ้าน หรือจะซื้อ Trip จาก Local Alike ก็ได้จ้า
3. ติดต่อ Local Alike เพื่อแพ็คเก็จเที่ยว : คลิกที่นี่
4.  ติดต่อชาวบ้านนำเที่ยว (พี่โสภา เกาะกลาง) : คลิกที่นี่

กิจกรรมบนเกาะ ฤดูกาลไหน ทำอะไรดี?

  1. ทำผ้าบาติก และ ผ้ามัดย้อม – เป็นกิจกรรมที่เอาใจคนรักในงานศิลปะ และ ความสวยงามโดยที่นี่จะมีสถานที่ๆทำด้านนี้โดยตรง และ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาลองทำและศึกษา
  2. ทำโรตี – เป็นกิจกรรมดีๆที่เราจะได้รู้จักการทำโรตี กันแบบสุดๆ ไหนจะนวด ไหนจะตี ไหนจะถอด เป็นความสนุกสนานไปอีกแบบ
  3. เล่นว่าว (หน้าร้อน) – ช่วงที่เขาเก็บเกี่ยวข้าวไปหมดแล้ว ท้องนาจะโล่ง และฟ้าจะสดใสที่นี่จึงมาการเล่นว่าวด้วย
    เรือหัวโทง

ของกินห้ามพลาด !!!

มาเกาะกลางทั้งที สิ่งที่ไม่ควรพลาดเลยคือ
โรตี – เพราะที่นี่โรตีมีความหลากหลาย แปลก อร่อยมาก โรตีชีส โรตี+แกง โรตี+ไมโล โรตีมะตะบะ
ข้าวยำคลุก – เกาะกลาง โดยเมนูนี้สามารถพบได้ที่ คิดถึง คอทเทจ ที่สูตรนี้สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเป็น 100 ปีแล้วด้วย
ข้าวสังข์หยด – ที่เกาะกลางมีการรับพันธุ์ข้าวสังข์หยดมากจากพัทลุงจริง แต่ดินที่ใช้ปลูกที่นี่ทำให้ข้าวอร่อย นุ่ม แบบที่เราไม่เคยกินที่ไหน เราเลยอยากให้ลอง
ร้านกระชังขนาบน้ำวิวซีฟูด – เวลาเราไปกระบี่ เราชอบแวะกินร้านนี้ กะปิสตรอผัดกุ้ง อร่อยอาหารทะเลสดมากด้วย คือเอาขึ้นมาจากกระชังเลย

1st day : เริ่มเดินทาง

ทริปนี้คงจะเป็นทริปที่ 3 ในชีวิตสำหรับการไปกับคนแปลกหน้า แต่กลับมาได้เพื่อนเพียบ ย้อนกลับไปเมื่อ 3-4 เดือนที่แล้วช่วงที่เราไม่สามารถกินอะไรได้เนื่องจากผ่าตัด แล้วจังหวะนั้นเองก็มีคนทำรีวิวเกาะกลางขึ้นมา เราก็ได้แต่คิดในใจว่าจะทำไงถึงได้ไป นั่งหาตั๋วโปรก็แล้ว แพลนเวลางานก็แล้ว ก็ไม่ได้ข้อสรุปสักที จนมาเจอกิจกรรมดีๆที่จัดโดย Local Alike x Air Asia ทริปนี้จึงเกิดขึ้น

เราเร่งรีบมาสนามบินดอนเมืองแต่เช้า เพราะเป็นช่วงเขาทดลองปิดช่องทางการจราจร เพื่อแก้ปัญหารถติด แต่ตามจริงไม่ต้องรีบมากก็ได้เพราะ เรามีบัตรแอร์เอเซีย เราจึงไม่ต้องไปยืนต่อคิวนาน และ อัพที่นั่งเป็น Hot Seat ได้เลย มันก็จะเหงาๆหน่อยเมื่อนั่งคนเดียว 55+ ใช้เวลาไม่นานนักก็ถึงที่หมาย อย่างปลอดภัย และ ตรงเวลา

ลงมาที่สนามบินเราก็เจอ พี่โสภา ผู้เป็นทั้งไกด์ คนดูแล เป็นชาวบ้านในเกาะกลางที่จะทำหน้าที่ดูแลเราใน 2 วัน 1 คืนนี้ พร้อมทั้งเพื่อนๆร่วมทริปทั้งหมด 7 คนด้วยกันเราก็ขึ้นรถตู้ไปที่ท่าเรือ แค่ 15-20 นาทีก็ถึงสำหรับท่าเรือสวนสาธารณะธารา แล้วเราก็นั่งเรือหัวโทงขึ้นเกาะอีก 5 นาทีไปง่ายมาง่ายมากเลย

ยานพาหนะที่จะพาเราดำรงชีพบนเกาะกลางแห่งนี้ก็เป็นตามภาพนี้เลย รถสามล้อชิคๆคันนี้ ที่จะหอบความหิวโหยของเราไปฝากท้องกันที่ร้านเล็กๆบนเกาะกลาง เอาเข้าจริงร้านอาหารบนเกาะนี้น่ารักดีนะ แบบมีของชาวบ้าน อาหารชาวบ้าน ทำให้เราสัมผัสถึงวิถีชาวบ้านกันได้ตั้งแต่นาทีแรกเลย บางเมนูก็เผ็ดอร่อยแบบอาหารใต้แท้ๆเลย โอ้ยจี๊ด !!!

ที่นี่จะมีผักชนิดหนึ่ง ที่กินแล้วจะเด็ก กินแล้วจะสุขภาพดี กินง่าย อยู่ง่ายแต่อร่อยไม่เบาเนอะ แล้วเราก็ไปทำกิจกรรมกัน กิจกรรมแรกเลยคือ รู้จักกับข้าวสังข์หยด โดยประธาน ประวัติ ผู้เป็นประธานของกลุ่มจัดการเรื่องการเกษตร โดยวิถีเศรษฐกิจพอเพียงเลย ปลูกไว้กินไม่ได้ขาย เพราะที่นี่มีพื้นที่จำกัด

ช่วงสาระมีอยู่จริง รู้หมื่อไร่…เห้ย !!! รู้หรือไม่ว่าชาวเกาะกลางเขาทำนาแบบไม่รอฝน จึงเกิดคำว่าปลูกเดือนแม่ (สิงหาคม) เกี่ยวเดือนพ่อ (ธันวาคม) และเขาการันตรีเลยว่าข้าวสังข์หยดแห่งเกาะกลางอร่อยและทำให้เจริญอาหารสุดๆ เพราะปลูกด้วยน้ำกร่อย ความเค็มเล็กน้อยก็เข้าข้าวด้วย ทำให้เจริญอาหารคืนนี้ต้องพิสูจน์

เราก็เดินไปเรื่อยๆ เพื่อจะดูเครื่องมือสีข้าว แล้วก็ไปเจอล่องรอยของการต่อเรือ เกิดความรู้ใหม่เลยว่าเรือมักจะมีกระดูกงู โดยกระดูกงูที่ว่าก็เป็นไม้หลักของเรือนั้นแหละ ไม่ได้ฆ่างูแล้วเอามาทำ 55+ ตอนแรกก็เชื่อแบบนั้นแหละ แล้วเราก็นั่งสามล้อไปชมทุ่งนา ควาย และ เป็ดน้ำน่ารักดี

แต่ทุ่งนาก็เจอจุดขายอีกอย่างของเกาะกลาง นกหัวจุก ที่เขาจะร้องและมีการแข่งขันกันอย่างจริงจัง จากที่เคยเห็นในรายการติดเกาะของพี่เรย์ แม็คโดนัล คือตอนดูก็ขำนะ แบบเขาจะแข่งภายในไม่กี่วินาที นกต้องร้องถึงจะเข้ารอบไปเรื่อยๆ เจ้าของนกก็ออกท่าทางเรียกลูกตัวเองกันอย่างเมามันเลยนิ  (แหลงใต้ต้องมา) 55+

ด้วยความที่เกาะแห่งนี้เล็กๆ ไปไหนมาไหน 2-3 ก้าวก็เจออีกกิจกรรมเป็นเรื่องจริง เดินไปเดินมาก็เจอน้องควายกินหญ้า เดินไปเดินมาก็เจอน้องแพะ พี่โสภาบอกว่าที่นี่เลี้ยงแพะกันแบบบุฟเฟต์นะ ใครใคร่กินกิน ใครใคร่เดินเดิน ต้องเป็นหน้าที่ของคนที่สร้างรั้วล้อมแปลงผักตัวเองไว้แทนแค่นั้นแหละ โอเคเข้าใจเห็นภาพเลย

แล้วเราก็มากันต่อที่จุดที่เขาเรียกว่าปากแม่น้ำก็ว่าได้ วิวดี ถ้าได้จักรยานสักคันจะดีมาก ที่สำคัญบริเวณนี้ลมโกรกสบายมาก นึกถึงเปลญวน นี่อยากได้มาผูกตรงแถวนี้เลย บริเวณนี้มีอีกกิจกรรมคือ เก็บหอย และถ่ายรูปเท่ๆกันบนสะพานนั้นแหละ 55+ เรากำลังจะก้าวสู่อีกกิจกรรมกันนั้นก็คือการทำโรตี

ล้างมือให้เรียบร้อย แล้วไปเป็นหนูทดลองคนแรกเลย 55+ น้องคนสอนเขาก็ทำให้ดูก่อนครั้งเดียว ที่เหลือเราก็โซโล่เลยจ้า เขาบอกว่าต้องพยายามนวดให้แป้งตีวงกว้างให้มากที่สุดโดยที่แป้งห้ามขาดเป็นรู โอ้ยๆๆๆ มันยากตรงนี้แหละ แล้วมีท่ายากด้วยนะมือซ้ายหงาย มือขวาคว่ำตีแผ่นโรตีป๊าป !! นั้นคือสิ่งที่เราคิดชีวิตจริงแล้ว เป็นรูเชียวแหละ โอยคิดซะว่านี่เป็นโดนัท

มาถึงเวลาเลือกไส้ นี่เลยไส้ไข่ใส่กล้วย 55+ กล้วยที่หั่นได้แบบว่า… นอกจากจะหั่นไม่หมดแล้วยังแอบใช้เล็บจิกด้วย ผึ้งนะผึ้งอายชาวบ้านไหมเนี่ย 55+ แต่สิ่งที่ได้คือ เห้ยมันอร่อยมากแก !!!! เที่ยวบอกชาวบ้านให้ลองชิม 55+ ระหว่างนั้นพี่เอมี่ก็ไปชงน้ำแดงมะนาวมาไว้กินกับโรตี มีความทำงานเป็นทีมสุดๆ นี่นึกขึ้นมาได้เลยว่าซื้อเขากินเถอะโรตี ><

ข้าวกลางวันก็กินแล้ว โรตีก็กินแล้ว ชมวิวก็ชมแล้วถึงเวลาเรียนรู้อีก ตอนนี้เราก็เกาะรถสามล้อมาต่อกันที่ จุดสอนและทำผ้ามัดย้อมกัน ใครใคร่มัดก็มัด ใครใคร่เพนท์ก็เพนท์ แบบนี้ก็ได้หรอ 55+ เรื่องจริงแต่แบบมันสนุกดีนะ เราก็ไปนั่งดูความงามของลายผ้าที่นี่ก่อน เพราะชาวเกาะกลางคิดลายนี้ขึ้นมา มีคนขอซื้อนี่ไม่ขายนะจ๊ะ

หลักการของการที่ผ้ามัดย้อมจะเกิดลายคือ จุดไหนที่น้ำสีจากธรรมชาติเข้าไปไม่ถึงจุดนั้นจะเป็นสีผ้าเดิมคือสีขาว ส่วนจุดไหนที่น้ำเข้าถึงก็จะเปลี่ยนไปตามสีน้ำในที่นี่มีสีเหลือ กับ แดงให้ลองกัน อุปกรณ์การมัดก็จะมีหนังยาง ไม้หนีบ เปลือกหอย ลายอะไรแปลกๆก็มโนขึ้นล้วนๆ 55+ เราว่ามันยากตรงที่ต้องจิตนาการให้เกิดลายสวยๆนี่แหละ

ส่วนอีกมุมนึง จะใช้น้ำตาเทียนเพนท์เอา ความร้อนจะเกาะผ้าและทำให้จุดนั้นน้ำไม่เข้า อยากเขียนชื่อ อยากได้ลวดลายอะไรก็วาดกันได้เลย แต่ต้องใช้เวลาหน่อยเพราะยากกว่าแหละ ด้วยความที่น้ำตาเทียนมันจะควบคุมยากต้องอาศัยความใจเย็นกว่าจะได้ลายสวยๆ แล้วตอนแช่เสร็จอยากให้เทียนหลุดก็อย่าลืมไปรีดด้วยเตารีด เดียวมันก็ละลาย

จังหวะที่ทำลายเสร็จก็ต้องแช่ผ้าในสีธรรมชาติ จึงเกิดอีกคำนิยามของเกาะกลางขึ้นมา เพราะเกาะแห่งนี้มีแมวเป็นพันตัวได้ นี่อยากเปิดคาเฟ่แมวขึ้นมาเลย เพราะเดินไปไหนก็เจอแมว แทบทุกบ้านเลยก็ว่าได้ที่มีแมว แล้วความเป็นแมวเด็กเนี่ยแหละ ทำให้พวกเรานั่งเล่นรอเวลาสีเข้าผ้าได้เป็นอย่างดี

ในส่วนของทีมผ้า ตอนนี้ก็แช่แล้วถึงเวลาล้าง แล้วก็ลุ้นกันไปว่าจะได้ลายอะไรกันบ้างอย่างเรามัดด้วยเปลือกหอยด้วย มันก็มีรูปหอยออกมาก พี่ๆๆขอทริปที่มีหอยออกมา !!!! มันใช่หรอ 55+ แต่เอาเข้าจริงด้วยระยะเวลาที่สั้นไป และสีธรรมชาติผ้าเราเลยไม่ได้ติดเด่นชัดขนาดนั้น ครั้งหน้ามาแต่เช้านะ แช่ยันเย็นคงสวยมาก

ขอบคุณคุณครูที่สอนพวกเรามา ณ ที่นี่ด้วยค่ะ จากนั้นแล้วเผลอแปบเดียวก็เย็น เราก็มุ่งหน้าไปที่บ้านชาวบ้านที่พร้อมจะเป็นเจ้าภาพ dinner วันนี้เจ้าบ้านน่ารักมากค่ะ ดูแลดีแทบกลิ่งกลับที่พักเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าอาหารเย็นครั้งนี้มันจะอร่อยกว่าทั่วไปแน่นอน

ห่อหมกปลา ไข่เจียว ปูผัด หอยแมลงภู่ น้ำลายส่อมากเวลานี้ 55+ ทีเด็ดของอาหารค่ำมื้อนี้คือ !!! ข้าวสังข์หยด กินคำแรกแล้วรู้เลยว่าอร่อยจริง มันนุ่มอร่อยสุดๆ เดียวจะหาว่าเราโม้ ใครไปเกาะกลางลองขอไปทานข้าวชาวบ้านดูได้ แล้วกับข้าวก็อร่อย อย่าปล่อยเรากลับบ้านเลย ในใจก็คิด 55+

ที่พิเศษอีกเมนูคือนี่เลย สาหร่ายพวงองุ่น คือสัมผัสได้ถึงความเค็มจากท้องทะเลได้ สด อร่อยดี เป็นอีกเมนูเฮลตี้ที่ช่วยยับยั้งมะเร็งอีกเช่นเคย รู้สึกค่ำคืนนี้จะเป็นอะไรที่มีความสุขมาก ที่เราทุกคนมานั่งล้อมวงคุยกัน แนะนำตัวกัน ประกอบกับวันนี้เป็นวันเกิดเราด้วยแหละ บังเอิญจริง 55+

ตอนแรกคิดว่าจะได้กลับเข้าไปนอนแล้ว แต่ยังมีอีกที่นี่เขามี โรตีเที่ยงคืน !!! ใช่แล้วฟังไม่ผิดเพราะนี่คือโรตีเที่ยงคืน คือเขาจะเปิดร้านได้เรื่อยๆ แล้วเมนูโรตีที่นี่เด็ดมาก โรตีทอปิโด+ช็อคโกแลต งี้ โรตีไส้ชีส โรตีกล้วยชีสงี้ เราสั่งนี่เลยโรตีปูอัด+ไข่ อร่อยตามท้องเรื่องจริงๆ กินกับโอวัลตินร้อนๆนะเด็ดมาก

ถือเป็นความสุขใจจัง ที่ได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตที่นี่ แค่ช่วงค่ำๆก็เงียบแล้ว แล้วอากาศดีเพราะต้นไม้เยอะเวลากลางวันก็ไม่ได้ร้อนเวอร์ สิ่งที่เราชอบสุดๆ คงเป็นบรรยากาศครอบครัวที่คนทั้งหมู่บ้านจะอยู่กันเป็นครอบครัว ถึงเวลาประมงก็ออกเรือ ฤดูกาลไหนออกไม่ได้ก็ปลูกข้าวพออยู่พอกินสุดๆ

[tdivider style=”fa-star” color=”#222222″]

2nd Day : อย่าปล่อยเรากลับบ้านเลย !!!

เช้าแล้วจ้า !!! อากาศดีมากเงียบสงบ นี่คือโฮมสเตย์ที่เรานอนกัน เป็นคุณยายที่อยู่คนเดียว แกน่ารักมากดูแลพวกเราเหมือนลูกเหมือนหลานอย่างดี จึงเกิดความผูกพันธ์ อยากอยู่กับยายนานๆ เพราะยายก็คงเหงาแหละ อีกอย่างพวกเราสาวๆขี้อ้อนกันขนาดนี้ คุณยายต้องคิดถึงพวกเราแน่ๆ

แล้วเสียงพี่โสภาก็ลอยมา “หลับสบายไหมทุกคนเมื่อคืน” ตามจริงแล้วพวกเราลากที่นอนไปนอนรวมกันหมด 55+ รู้สึกอบอุ่นดี แล้วก็มุ่งหน้าไปทานอาหารเช้ากันแบบบ้านๆ ตามสไตล์ชาวบ้านที่นี่ไม่มีร้านหรูห้องแอร์ดีๆหรอก แต่มีลมเย็นพัดมาได้เรื่อยๆสบายดี เราชอบตรงนี

ของดีเมืองใต้คือ ขนมจีนน้ำยาต่างๆ อย่างไปภูเก็ตจะได้กินขนมจีนน้ำยาปู ส่วนบนเกาะกลางแห่งนี้ขนมจีนไข่ต้ม เป็นอาหารเช้าพร้อมผักเครื่องเคียงเต็มไปหมด นั่งทานไปก็ชมบรรยากาศวิถีชาวบ้านไป เพลินดี กิจกรรมต่อไป เป็นสาวแขก !!! ไม่ใช่สิไปเป็นนักเรียน เรื่องราวของเรือหัวโทง โดยพี่บังสมบูรณ์

ช่วงสาระมีอยู่จริง ที่เราเคยบอกว่ากระบี่ถือเป็นจุดต่อเรืออันดับต้นๆของไทย โดยบังสมบูรณ์ได้รับความรู้เรื่องเรือหัวโทงมาจากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่รุ่นพ่ออยู่ภูเก็ต พังงา จนมารุ่นของบัง ไม้ที่นำมาทำเรือนั้นจะมีไม้ตะเคียนทอง และ ไม้พยอมทอง และใช้น้ำมันยางธรรมชาติมาเคลือบ เวลาโดนแดดจะเงาวับสวยงาม

แล้วก็มีเรื่องหลอนๆเกี่ยวกับเรือคือ ผีพราย ซึ่งบังบอกว่ามีจริง ปู่ของบังเคยเจอว่ามีแต่หัว แต่เขาบอกว่าเวลาเจอเนี่ยเขามาดี เพราะเขาจะมาพร้อมความอุดมสมบูรณ์ ปลาจะมาได้เยอะ ส่วนเรื่องหลอนอีกเรื่องคือเรื่องซึนามิ และ เรื่องทะเลที่ดุบังเคยบอกว่าเขาเคยเรือล่มจริงๆ แล้วก็เข็ดกับการออกเรือ จึงยึดอาชีพด้านนี้แทน เราแอบเห็นด้วยว่าทะเลน่ากลัว

จบเรื่องเรือโทงไปแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปที่ บ้านคุณยายเพื่อเก็บของกัน ถึงเวลาร่ำลาคุณยายต่อมน้ำตาแตกมาก เราหวังว่าจะมีลูกมีหลาน แวะเวียนไปเยี่ยมท่านบ่อยๆนะ จะได้ไม่เหงา มีแลกเบอร์โทรหาคุณยายกันด้วย เวลาที่ถึงกรุงเทพจะได้โทรบอก แกจะได้สบายใจ

แล้วเราก็เดินลัดเลาะไปที่ คิดถึง คอทเทจ อีกหนึ่งโฮมสเตย์ที่เราจะใช้ทำกินกรรมสุดท้ายคือ การทำข้าวยำคลุก และ ขนมโค ของดีที่จะทำให้ชาวใต้หลายคนคิดถึงบ้าน จังหวะนี้ก็ต้องโบกมือลาคุณยาย แกก็ยืนส่งเราจนเราเดินไปลับตา แกน่ารักจริงๆ

แค่เห็นส่วนผสมก็รู้แล้วว่ามื้อนี้ต้องอร่อยแน่นอน พี่มัตถ์ และ พี่มูนา เจ้าของสถานที่แห่งนี้เตรียมทุกอย่างให้แล้ว พวกเราก็แบ่งหน้าที่กันเลยใครใคร่ซอยก็ซอย ใครใคร่หั่นก็หั่น ใครใคร่ตำก็ตำ ส่วนเราก็ทำหน้าที่แจกชามะนาวที่พี่ๆเตรียมให้ เราก็เสริฟพ่อครัวแม่ครัวดีกว่า เพื่อความสดชื่น

ขอพูดถึงเมนูข้าวยำคลุกนิดนึง เขาบอกว่าเป็นเมนูโบราณของชาวเกาะกลางมาประมาณ 100 ปีได้ โดยส่วนผสมจะเป็นสมุนไพรที่หาได้จากรอบบ้าน รวมทั้งกะปิก็หาได้จากท้องทะเลวิถีชีวิตชาวเกาะ ส่วนผสมและวิธีทำพี่ๆคิดถึง คอทเทจแชร์ให้อ่านกันที่นี่

เมื่อส่วนผสมเรียบร้อยแล้ว ถึงมือพี่โสภาแล้วแหละที่จะค่อยๆคลุกข้าวที่ละนิดทีละหน่อย เพื่อความทั่วถึง ตามจริงแล้วที่อร่อยเพราะรสชาติมือพี่โสภาหรือเปล่านะ 55+ ทุกคนต่างลุ้นว่าจะได้กินเมื่อไรไม่นานนักสิ่งที่คลุกก็พร้อมกินแล้ว มาเป็นกาละมังเลย

เครื่องเคียงก็มาเต็ม ที่แปลกกว่าที่อื่นคือมีมะละกอดิบมาเป็นเครื่องเคียง ไข่ต้ม ไก่ทอดที่หมักเข้าเนื้อ และที่เราชอบที่สุดคือซุปที่เปรี้ยวๆ คือดีงามส่งท้ายทริปได้ดีที่สุด รสชาติมันตัดกันลงตัวสุดๆ อิ่มท้องแล้วต้องตกท้ายด้วยของหวานกันหน่อยอย่างขนมโค

วันนี้พวกเราจะทำขนมโค 4 สีโดยสีน้ำเงินมาจากอัญชัน เขียวมาจากใบเตย สีส้มมาจากแครอท และสีขาวเป็นแป้ง โดยที่ไส้ข้างในจะเป็น น้ำตาลแว่น หรือ น้ำตาลโตนด จะเห็นภาพข้างล่าง แล้วเราก็หั่นน้ำตาลแว่นให้เป็นชิ้นเล็กๆกันน่ารัก

จากนั้นแล้ว เราก็เอาแป้งมาห่อน้ำตาล แล้วก็ปั้นกันเลย บางคนก็ปั้นกลม บางคนก็ปั้นเป็นลูกหมาลูกแมว บางคนก็ปั้นเป็นลูกมังคุด เพลิดเพลินไปอีกสำหรับการทำขนมหวานของเรา ระหว่างนี้เราก็จะมีมะหมี่ไปนั่งขูดมะพร้าวรอ

นอกจากมะหมี่จะขูดมะพร้าวรอแล้ว เราก็ไปนั่งพับกระทงรอแล้วเช่นกัน ทำงานเป็นเป็นทีมอีกเช่นเคย โดยผู้เชี่ยวชาญในการลวกก็จะนำสิ่งที่เราปั้นๆกันมาลวก อย่าเรียกว่าลวกเลย เทลงหม้อแล้วลอยขึ้นมานั้นแปลว่าสุกแล้วดีกว่า 55+

เมื่อสุดแล้วเราก็เอาลงคลุกกับมะพร้าวที่มะหมี่นั่งขูดมาให้ เพิ่มความเค็มตัดกับความหวานของไส้ และความหนึบของเนื่อแป้ง เรานี่เพิ่งเคยกินขนมโค ยังรู้สึกติดใจกับขนมของชาวใต้เลย กินไป 3-4 กระทงได้ สารภาพ 55+

นี่แหละวิถีชีวิตน่ารักของชาวเกาะกลาง ที่เรามาแค่ 2 วัน 1 คืนทำเราไม่อยากกลับเลย ผู้คนน่ารัก อาหารอร่อย ธรรมชาติยังคงสมบูรณ์ ที่สำคัญกิจกรรมให้ทำแบบจริงๆจังๆก็เยอะมากเลยนิ แล้วเราจะกลับมาเกาะกลางอีกนิในฤดูถัดๆไป

 ขอบคุณน้องปอ น้องแจ๊สจากทีมงาน Local Alike ที่เหนื่อยในการดูแลพวกเรา ขอบคุณพี่โสภาที่ดูและพวกเราเช่นกัน ขอบคุณคุณครูผู้สอนทำผ้ามัดย้อม ทำขนม ทำข้าวยำ และสุดท้ายขอบคุณ Air Asia และ JourneyD ที่ทำให้กิจกรรมครั้งนี้มีความหมายสุดๆจ้า

Exit mobile version