เที่ยวยอร์คยาการ์ต้า
เที่ยวยอร์คยาการ์ต้า – เคยมีประเทศที่ใฝ่ฝันจะไปไหม ที่มันจะธรรมชาติ สวยงามอลังการ แล้วที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในเช็คลิสต์กับประเทศอินโดนีเซีย และที่นี่ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง
เพราะที่นี่มีสิ่ง Unseen หลบซ่อนความเจริญของผู้คนรอต้อนรับเราอยู่อีกเยอะ
ครั้งนี้เราเลือกไปลงที่ยอร์คยาการ์ต้า โบรโม่ อีเจี๊ยน และจบลงที่ บาหลี กับช่วงเวลา 10 วันมาดูกันว่า 6 August Journey ไปพบอะไรมาบ้าง
เตรียมตัวเที่ยวอย่างไรบ้าง
- จองรถพร้อมคนขับและปรึกษาแผนท่องเที่ยวที่ “ท่องเที่ยวเมืองยอร์คยาการ์ต้า” ราคาคนไทย : คลิกที่นี่
- แลกเงินอินโดไปเลย ไม่ต้องไปแลกหลายต่อเราแนะนำให้โทรจองที่ Super rice เพราะ Rate ดีไม่เสียเวลาแลกหลายต่อ
- ปลั๊กไฟแบบ Universal ควรพวกไปเพราะปลั๊กบ้านเขาไม่เหมือนบ้านเรา
- อากาศที่นี่ช่วงบ่ายๆ ฝนจะตกตลอดทั้งปี แนะนำเตรียมตัวป้องกันฝนไปด้วย
ไปไหนมาบ้าง (อย่างละเอียด)
- Borobudur Sunlight : คลิกที่นี่
- Timang Beach สุดเสี่ยงต้องลอง : คลิกที่นี่
- Kali Adem ทัวร์ลาวา : คลิกที่นี่
- Taman Sari ชีวิตสุลต่าน : คลิกที่นี่
- Malioboro Street พักย่านนี้ไม่ผิดหวัง : คลิกที่นี่
1st day : เริ่มเดินทาง
การเดินทางครั้งนี้ ถือว่าไปนานมาก 10 วันเต็ม เริ่มต้นกันที่การวางแผนภาพรวมก่อนว่าเราจะเดินทางเมืองต่อเมืองอย่างไร โดยที่การไปเรานั่ง Air Asia X ไปลงที่กรุงจาร์กาต้า เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเลยก็ว่าได้ ราวกับการนั่งไปญี่ปุ่น แม้จะใช้เวลาไม่เท่า เราต้องกรอกใบเข้าเมืองให้เรียบร้อย
โซนเที่ยวของเราจะอยู่ทางหมู่เกาะชวาตะวันออก ไล่ตั้งแต่เมือง ยอร์คยาการ์ต้า โบรโม่ และ อีเจี๊ยนที่กล่าวมาทั้งหมดนี้อยู่ทางตะวันออก แต่เมืองที่เราไปลงอย่างจาร์กาต้านั้นอยู่ตะวันตกมี 2 ช่องทางที่อยากแนะนำในการข้ามเมืองคือ รถไฟที่วิ่งทั้งคืนราคาตกแล้วประมาณ 700 – 800 บาท หรือ จะเครื่องบินในประเทศ 1,100 บาทลองเลือกเอา
โดยทั้ง 2 ช่องทางเราแนะนำให้จองผ่าน Application อย่าง Traveloka ของประเทศอินโดนีเซีย เราแค่เปลี่ยนภาษาที่จะใช้ มันก็จะมีเมนูตั๋วต่างๆ ของประเทศอินโดนีเซียมาให้ ถือว่าสะดวกมากแอพเดียวเที่ยวทั่วโลกจริง แต่การเดินทางครั้งนี้เราเลือกบิน เพราะประหยัดเวลาแถมได้นอนพักผ่อนในราคาที่แพงกว่ารถไฟ 200-300 บาท
สายการบินที่เลือกคือ Sriwijaya เป็น Low Cost บ้านเขาเลย มีน้ำมีขนมแจกถือเป็นการลองของใหม่ที่ไม่เคยนั่ง แต่สิ่งที่ประสบพบเจอคือ ค่อนข้าง delay อาจเป็นเพราะสภาพอากาศฝนฟ้าคะนอง และที่สำคัญก่อนเครื่องจะ Take off พี่ท่านไม่เปิดแอร์ เกือบตายคาเครื่องบินเพราะร้อนตายแล้ว 55+
ไม่นานนักเครื่องก็มาลงจอดที่ สนามบินเมืองยอร์คยาการ์ต้า โดยที่เรานัดกับที่พักที่เราจองคืนแรกผ่าน Airbnb ให้มารับที่สนามบินสนนราคาตกคนล่ะ 200 กว่าบาทคือไม่แพงนะเพราะ 3 ชั่วโมงกว่าจะถึงที่พัก แล้วมืดๆ ฝนตกอีกด้วย ลุงที่มารับแกก็ใจดีน่ารัก ดูแลดี เราว่าคนอินโดนีเซีย เขายิ้มแย้มแจ่มใสดีนะ
2nd day : แสงแรกของอินโดนีเซีย
จะเรียกว่าแสงแรกก็คงไม่ได้เนอะ เพราะไม่ใช่ตะวันออกสุดของอินโดนีเซีย แต่เป็นที่มุ่งหมายแห่งแรกที่อยากมาเห็นด้วยตาตัวเองอย่าง ศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง บุโรพุทโท ที่มีคนว่ากันว่าเราต้องมาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่สักครั้งในชีวิต โดยได้ชื่อว่าเป็นมรดกโลกไปแล้ว และแน่นอนว่าค่าเข้าก็แพงไปด้วย
เรานัดหมายกันเวลาตี 4 ครึ่งต้องพร้อมกันที่รถโดยที่พักเราเขาจัดการเรื่องตั๋วเข้าทั้งบุโรพุทโธ และ ปราสาทพรัมบานัน ที่ซื้อคู่จะลดราคาเล็กน้อย และที่พักเราก็จัดรถรับส่งให้ด้วย เป็นคุณลุงคนเดิมที่คอยดูแลพวกเรานั้นแหละ มาถึงมันจะมืดๆหน่อยเกือบตี 5 ก็ถึงเพราะใกล้ๆ เขาจะมีไฟฉายให้เราด้วย (ฟรี) คงรวมมากับราคาบัตรแล้ว
เราจะเห็นเป็นเงาใหญ่ๆ มองไม่เห็นอะไรมากโฟกัสแค่ไม่ตกลงมาเป็นพอ ณ เวลาตี 5 สิ่งที่เราพบคือ คนเป็นล้าน!! โอ้แม่เจ้านี่เราคิดว่าเรารีบแล้ว เจอชาวโลกเบียดเสียดกันหามุม และ คนเยอะมากทำให้ไม่มีมีมุมถ่ายรูปเลย แต่เราบอกไว้เลยว่าช่วงเวลานี้บัตรแพงกว่าชาวบ้านแล้ว คนก็น้อยกว่าช่วงสายๆนะ
เอาตามความคิดเรานะในอาเซียน เราชอบพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดที่สุด ที่เหลือพุกาม กับ บุโรพุทโธเราเฉยๆมาก แล้วที่นี่ราคาแรงมาก ราคาเท่าไรยังไงอ่านรีวิวตัวเต็มของบุโรพุทโธได้เลย เราก็ใช้เวลาหามุมถ่ายรูปกันนานหน่อย เพราะคนเยอะจริงๆ ทุกซอกทุกมุมด้วยนะ
ทีเด็ดของที่นี่ช่วงเช้าจะเป็นเรื่องหมอก ซึ่งมีหมอกสวยงาม อากาศเย็นสบายดีมาก แล้วอีกมุมจะเป็นจุดที่พระอาทิตย์ขึ้น โดยที่นี่ถ้าเทียบกับจำนวนคนแล้วก็เล็กนิดเดียวนะ แต่ช่วงเช้าก็ดีได้เห็นหมอก เห็นพระอาทิตย์คุ้มค่าดี เราอยู่จนแสงฟุ้ง และ เริ่มร้อนก็เลยลงมาข้างล่างเพื่อไปทานอาหารเช้า
ลงมาเขาจะมีของชำร่วยให้ด้วยสำหรับพวกเราที่มาชมพระอาทิตย์ขึ้น อาจจะเป็นเพราะบัตรแพงด้วยแหละ เป็นผ้าคลุมไหลปาเต๊ะใช้ได้ทั้งทริป ทางลุงคนขับของเราก็ใจดีชวนไปเที่ยวที่ โบสถ์ไก่ ที่มันเหมือนไก่จริงๆแกเล่าว่าที่นี่คนพื้นเมืองภูมิใจมากเลยนะ พวกฝรั่งชอบมากัน ไปค่ะ
ตามจริงอยู่ไม่ไกลจากบุโรพุทโธมากนัก หนทางธรรมชาติ ทุ่งหญ้าสีเขียวได้ใจ แต่ที่นี่เสียค่าเข้าที่ไม่แพงหรอกรวมค่ารถรับส่งจากเขาด้วยราคา 102 บาทไทยต่อคนได้ ข้างในจะมีขนมพื้นบ้านให้ทานเป็นอาหารเช้าด้วย แต่ก็ไม่ค่อยมีอะไรข้างในมากนัก ก่อนที่เราจะเดินทางกลับที่พักเพื่อกินข้าวอย่างจริงจัง
ย่านที่เราอยู่ก็เหมือนที่เราเล่าเลย จองผ่าน Airbnb (Nurudin House) คนล่ะ 300 บาทขับรถไปบุโรพุทโธ ไม่เกิน 10 นาทีก็ถึงถ้าเทียบกับการพักที่บุโรพุทโธเลย ก็ประหยัดไปได้เยอะ อาหารเช้าพื้นบ้านเลยแหละ รสชาติใกล้เคียงอาหารไทย แล้ววันนี้รถที่เราติดต่อไว้จากไทยก็จะมาพาเราเที่ยว เรามุ่งหน้าสู่ทางใต้ของบุโรพุทโธอย่าง Kali Adem
ที่นี่เขาเคลมว่าเขาเป็นหมู่บ้านที่จะเห็นภูเขาไฟ Merapi ได้ชัดสุดๆ อารมณ์เดียวกับภูเขาไฟฟูจิด้วยนะ ที่มีความขี้อาย ไปผิดเวลาฝนตกหมอกลงก็อดเห็น เราแนะนำให้ไปช่วงเช้า เพราะเราสังเกตเห็นว่าที่ยอร์คยาฝนชอบตกตอนบ่ายแทบทุกวัน แต่ก่อนจะไปชมยอดเขา เราก็จะพบเจอพิพิธภัณฑ์เหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิด
ที่นี่น่ากลัวมากเลยนะ คือท่ามกลางความมืด และ ควันที่พวยพุ่งออกมาจากปล่องเวลาที่ภูเขาไฟกำลังระเบิด มันสร้างความเสียหายทุกอย่าง เขาจะมีตัวอย่างข้าวของเครื่องใช้ที่หลงเหลือมาให้ชม เรารู้สึกเลยว่าเกิดเป็นคนไทยนี่ดี๊ดี ภัยธรรมชาติไม่ได้เยอะ และถนนที่นี่ก็สุดติ่งจริงๆ 55+ เหมือนโดนจับเขย่าตลอดเวลา
ไม่นานนักฝนก็ตกลงมา แล้วตกแบบแรงมาก ทำให้เรารู้ได้เลยว่าเราจะไม่เห็นยอดเขาแน่นอน เหมือนมาเสียเที่ยวแต่ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็มาทดลองทางแย่ๆ ก่อนวันพรุ่งนี้จะเจอทางจริงที่โหดแบบไม่มีอั้น 55+ เราขอท้าให้มาตามรอยได้เลย
ที่ต่อไปที่เราไปกันคือ ปรัมบานัน เอาจริงๆนะด้วยความที่ซื้อบัตรคู่ไว้ไงก็เลยมา ที่นี่ก็ได้เป็นมรดกโลกอีกที่ บัตรเข้าก็เลย Combo กันมา พร้อมราคาที่น่ากลัว แต่มาทั้งทีก็ต้องจัดสักครั้งในชีวิตเนอะ ไปค่ะเราจะไปเดินเป็นเจ้าแม่นาคีดูกันว่าจะสวยงามขนาดไหน
ไม่นานนักฝนก็ตกลงมาอีกรอบ เราถึงกับขนาดปีนขึ้นไปหลบฝน แต่ว่าที่นี่เหมือนฝนจะตกบ่อยจริงๆ จะมีบริการให้เช่าร่มด้วยนะ ราคาไม่แรงน่าคบหา แต่เราคิดว่าคงตกไม่นานหรอกที่ไหนได้ ครึ่งชั่วโมงค่ะ รอวนไป ลืมเล่าว่าที่นี่มีการแสดงรามเกียรติด้วยแหละ ราคาแบ่งเป็นโซนๆ คืนนี้เรามุ่งหน้าไปที่ถนน Malioboro และพักย่านนี้
จุดที่เราชอบเมืองนี้อีกที่ก็คงเป็นถนนที่ไม่ค่อยหลับไหลแห่งนี้แหละ ด้วยความที่ก่อนมาคุณโอ๋ แห่งเพจท่องเที่ยวเมืองยอร์คยา แนะนำไว้ว่าพักแถวนี้สิ ของกินหาง่าย ราคาแบ็คแพคด้วยนะทำให้เราตัดสินใจจองที่นี่แหละ แล้วก็ไม่ผิดหวังเราแนะนำอีกว่าที่นี่เป็นย่านของฝากที่ราคาถูกมากๆ
คือตลอดทางจะมีร้านขายเสื้อผ้าบ้านเขา ในราคาเช่นชุดนอน 60 บาทไทยอะไรทำนองนี้ แล้วมีหลายร้านแข่งกันจัดโปรโมชั่น แถมถนนแห่งนี้เราจะเข้าใกล้วิถีผู้คนมากขึ้นด้วยการนั่งรถม้าได้ หรือ จะนั่งรถถีบซาเล้งก็ได้ แต่สิ่งที่เราชอบที่สุดเลยคืออาหารข้างทางที่นี่ดีงามมาก
อาหารข้างทางที่นี่จะเป็นข้าว กับ ของทอด ด้วยความที่ในหัวเราตอนนี้จะจำได้ว่า Ayam แปลว่าไก่ Goreng แปลว่าทอด เราก็มาเปิดตากับย่านนี้คือเขาจะมีปลาทอด อาหารทะเลมาให้เลือกที่สำคัญกินจากมือนี่อร่อยๆสุดๆ เราเลยสั่งเป็นปลาเอามาคลุกข้าว เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นแมว 55+
อาหารส่วนใหญ่ก็จะชุดล่ะ 40-50 บาทไทยได้กินอิ่มแถมอร่อยด้วย เราก็ไปเดินเล่นกันต่อว่าแบบเขาจะมีอะไรขายบ้าง คือมีแต่ของน่ากินนะจะบอกให้ แล้วรสชาติเขาใกล้เคียงอาหารไทยเลยแหละ แม้จะไม่ได้แซ่บเวอร์ แต่ก็เค็มบ้างมันบ้างใกล้เคียงเราถือว่าวันนี้ได้สัมผัสความเป็นยอร์คยาได้ดีเหมือนกัน
ถือว่าวันนี้เป็นวันที่โอเคมาก กินอิ่ม นอนหลับได้ไปในที่ๆอยากไปครบแล้ว พรุ่งนี้เราจะอยู่ที่ยอร์คยาเป็นวันสุดท้ายก่อนมุ่งหน้าสู่ภูเขาไฟโบรโม่ ด้วยรถคันเดิมยิงยาวไปเลย !!!
3rd day : อำลายอร์คยาด้วยที่ Unseen
ก่อนจะมาถึงที่นี่เราทำการบ้านไว้เยอะพอตัว เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่มักจะมา โบรโม่ อีเจี๊ยน บาหลี แต่เห็นไม่ค่อยมายอร์คยาการ์ต้า ทำให้เราอ่านจากเว็บเมืองนอกซ่ะส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่ในไทยจะรีวิวพวกศาสนสถานแต่เรามันสายเที่ยวธรรมชาติไง เลยต้องทำการบ้านหนักเป็นพิเศษซึ่งที่นี่ มีธรรมชาติที่สวยทั่วเมืองจริงๆ !!
ก่อนไปเจอธรรมชาติเราแวะที่นี่กันก่อน Taman Sari เทียบกับบ้านเราก็คือพระราชวังที่เคยเป็นที่อยู่ของสุลต่านที่นี่มาก่อน แต่ด้วยความที่ผ่านระยะเวลามานานมากทำให้พบเจอแผ่นดินไหวบ้าง ภูเขาไฟระเบิดบ้าง การถูกยึดครองจากอังกฤษบ้าง ทำให้หลงเหลือไว้แค่สาก ความสวยงาม
ความว่าที่นี่มีประวัติมายาวนาน ทำให้มีคนธรรมดามาตั้งรกรากอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ด้วย และมาพร้อมกับความอาร์ต และ ฮิปสเตอร์กำแพงจึงเกิดความงามตามภาพข้างบนนั้นแหละ ด้วยความที่เรามากัน 7 คนทำให้มีคนอินโดมาอาสาเป็นไกด์ และพาเดินไม่ให้หลงไปกันค่ะ เรามีเวลาที่นี่จำกัดจริงๆ
จุดแรกที่เขาพาไปดูคือตัวอาคารที่ถูกภูเขาไฟทำลาย เอาเข้าจริงเขาอยากให้เรามาชมวิวที่นี่แหละ แต่ขึ้นไปไม่ได้เพราะมันเริ่มพุพังหมดแล้ว ส่วนจุดต่อไปคือ พระราชวังน้ำที่ถือเป็นไฮไลต์ที่นี่ ถ้าเดินในที่นี่เราว่ามีหลงแน่นอน 55+ คือกว้างใหญ่ต้องให้ผู้รู้เป็นคนนำทาง
พระราชวังน้ำมีค่าเข้า และ ค่ากล้อง แต่ราคาก็ไม่แรงมากนักเข้าไปเดินเล่น ถ่ายภาพให้คุ้มค่าทุกซอกทุกมุมนะ 55+ จากที่เห็นในภาพน้ำมันจะสีฟ้ากว่านี้ แต่ที่ไหนได้มันจะแบบมีตะไคร้น้ำเยอะหน่อย ไม่ได้เหมือนที่คาดหวังเลย แต่ไม่เป็นไรหรอกเรามาที่นี่แค่เป็นทางผ่านไปจุดที่เราชอบมากอย่าง Timang Beach
แล้วเราก็มุ่งหน้าไปด้วยความว่าที่นี่มันจะออกแนวลึกลับซับซ้อน และไม่ได้เข้าไปง่ายๆ จึงไม่มีรถประจำทางไปแน่นอน ประมาณ 3 ชั่วโมงได้เราก็ไปถึงจุดใต้สุดของยอร์คยาเพื่อจะมาเห็นด้วยตาเปล่า และอยากนั่งกระเช้าที่ดูน่ากลัวสุดๆ เช่นกันไปค่ะ
มาถึงจุดที่เขาให้จอดรถ ก็จะมีวินมอเตอร์ไซต์ คือเราก็ไม่รู้หรอกว่าต้องเรียกว่าอะไรแต่คือเราต้องจ้างเขาพาเข้าไป และ ออกมาในราคาร้อยกว่าบาท ความพีคของที่นี่คือทาง !!! คือทางมันแย่มากเป็นหินตลอดทางระยะเวลา 5 นาทีกว่าที่จะเข้าไปถึงจุดสวยงาม เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมคนไม่นิยมมา 55+
จำหน้าคนขับไว้ด้วยนะ 55+ ไม่งั้นเขาก็จะจำหน้าเราแทน เขาก็ชวนคุยแหละมาจากไหน มาเลเซียหรอไรงี้ แล้วก็มาถึงที่ๆเราอยากมาที่สุดในเมืองนี้อย่าง Timang Beach สิ่งแรกที่เราพบคือ ทะเลที่นี่ดุมาก คลื่นนี่น่ากลัวสุดๆ แล้วก็มาถึงกิจกรรมที่ท้าทาย
กิจกรรมที่นี่ราคาแรงมากค่ะ ขึ้นกระเช้า 500 บาทไทยได้ หรือ จะเดินข้ามสะพานให้ขาสั่นเล่นราคาลงครึ่งนึง เอาเป็นว่าทั้งสองกิจกรรมเราไม่กล้าเล่น ด้วยความที่กระเช้าเขาใช้แรงงานคนในการลาก มันเลยดูเป็นอะไรที่ดิบมาก เราขอให้ดูตามคลิปดีกว่าเนอะ 55+ เพื่อความเข้าใจง่าย
[youtube width=”100%” height=”100%” autoplay=”false”]https://www.youtube.com/watch?v=XfzH1UlcfDc[/youtube]
สุดท้ายแล้วเดินมาถ่ายรูปเล่น ดูคนอื่นเขาเล่นกิจกรรมของที่นี่ไปพลางๆ เราก็มุ่งหน้าไปที่โบรโม่ด้วยรถและคนขับคนเดิมที่ขับรถเก่งมาก แม้ทางจะโหดมากก็ตาม ตอนแรกจะนั่งรถไฟข้ามเมืองมา แต่มันต้องนั่งย้อน และ หารถไปต่ออยู่ดีและได้ราคาเหมารถไม่แพงก็เลยหยุดเรื่องราวของยอร์คยาการ์ต้าไว้แค่นี้จ้า >>โบรโม่อีเจี๊ยน