[icon type=”fa-send” color=”#999999″ size=”28px”] จุดเริ่มต้น
[divider style=”solid” height=”2px” color=”#eeeeee”]
ทริปนี้ถือว่าเป็นทริปแรกของการ “เดินป่า” อะไรทำนองนี้ค่ะ เรียกได้ว่าเป็นมือใหม่หัดเดินป่าก็ว่าได้ อยู่ดีๆก็มีน้องที่ชอบการท่องเที่ยวอีกคนในเฟซบุคมาชวนค่ะ ชวนแบบงงๆ ก็ไปแบบงงๆเช่นกัน สถานที่นี้มีชื่อว่า พุเตย จังหวัดสุพรรณบุรี และยิ่งไปกว่านั้น เราทุกคนในทริปครั้งนี้ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อึ้งไปเลย 55+
[icon type=”fa-comments-o” color=”#999999″ size=”24px”] เดินป่าหน้าฝนแบบ ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ เป็นจุดเริ่มต้นของทริปนี้ค่ะ : )
[icon type=”fa-dollar” color=”#999999″ size=”28px”] เตรียมตัว เตรียมตัง
[divider style=”solid” height=”2px” color=”#eeeeee”]
ข้อมูลการเตรียมตัวเหล่านี้ เกิดจากพี่ๆน้องๆในทริปช่วยกันหา และ โทรสอบถามเจ้าหน้าที่ของอุทยาน เชื่อถือได้แน่นอนจ้าที่นี่ไม่มีทากน่ะครัช ไม่ต้องเตรียมถุงกัน
[col2 ]เตรียมตัว – ปฎิบัติตามนี้ถือว่าครบน่ะจ๊ะ
1. รองเท้าผ้าใบ – ไว้เดินป่า
2. รองเท้าแตะ – ไว้อาบน้ำอุทยาน
3. ยากันยุง – พวก กย 15 หรือ ซอฟเฟล
4. ถุงมือ – สำหรับจับเชือกปีนเขาบนนั้น
5. เต๊นอย่างดี – ถ้ามีแบบไม่ดีเช่าอุทยานเถอะครัช
6. ถุงนอน – มันหนาวน่ะคูณณณณ
7. ทิชชู ทิชชูเปียก – ในป่าค่ะต้องดูแลตัวเองนิดนึง
8. เสื่อ – ไว้นั่งไว้นอนบนนั้น
9. ชุดกันฝน – กรณีที่เป็นหน้าฝน
10. ไฟฉาย – สำคัญมากเพราะบนนั้นไม่มีไฟฟ้า[/col2]
[col2 ]
ค่าใช้จ่าย – เตรียมไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด 1500 บาทถ้วนค่ะ
1. ค่ารถตู้ไปกลับอนุสาวรย์ และ อำเภอด่านช้าง – 360 บาท
2. รถเจ้าหน้าที่มารับ และ ส่งที่ บขส อำเภอด่านช้าง และ เจ้าหน้าที่ดูแลระหว่างเดินป่า 3500 บาท หาร 8 คนตกคนล่ะ – 450 บาท
(มีคนถามว่าจำเป็นไหม เอารถขึ้นไปเองได้ไหม เดียวจะให้ดูถนนหนทางกันค่ะ แล้วค่อยคิดอีกที 55+)
3. ค่าอาหารกินอยู่อย่างราชา – ตามที่เราสบายใจเลยค่ะ 55+
[/col2]
[icon type=”fa-paper-plane-o” color=”#999999″ size=”28px”] วันที่ 1 เริ่ม !!!
[divider style=”solid” height=”2px” color=”#eeeeee”]
เริ่มออกเดินทางโดยรถตู้ จากอนุสาวรย์ชัย กันช่วงเช้าฝนตกหนักกันตั้งแต่เริ่มเลยค่ะ แต่เราก็ไม่ถอย นั่งในรถคุยไป หลับ ไปสักพัก 3 ชั่วโมงก็ถึงค่ะ เพราะรถไม่ติดเลย จุดแรกที่เรามาถึงกันคือ บขส ของอำเภอด่านช้างค่ะ มาถึงก็ประมาณเกือบเที่ยงได้ คนไม่เยอะ มีห้องน้ำให้เข้า ทุกคนก็ลงมายืดเส้นยืดสาย และ กินข้าวกันตามอัธยาศัย 55+ ราคาโอเค รสชาติก็พอไปได้ค่ะ
[col2 ]
[/col2][col2 ]
[/col2]
เมื่อทานกันเสร็จแล้ว ด้วยความที่พวกเรามากันตัวเปล่าจริงๆค่ะ คือ ถ้ายังจะตัวเปล่ากันแบบนี้คืนนี้ไม่มีอะไรกินนะจ๊ะ พี่เอก เจ้าหน้าที่ทางอุทยานผู้ทำหน้าที่ดูแลเราตลอดทริปจึงพาเราแวะที่ “ตลาดสุพรรณบุรีแดนมหัศจรรย์” ขอคอนเฟิร์มค่ะว่าที่นี่ของสด มีของแปลกๆใหม่ตรึม พวกเราทั้ง 8 คนคิดเมนูกินกลางป่าอลังการงานสร้างมากเลยมี เมี่ยงปลาเผา คอหมูย่าง น้ำจิ้มรสเด็ด ขอบอกว่าซื้อครบจริงๆค่ะ กินอย่างราชา ไปชมบรรยากาศตลาดที่นี่กันค่ะ
เราจะอยู่กันอย่างราชาไปอีกวันเลยค่ะ 55+ จากนั้นเราก็ออกจากตลาด แล้วเดินทางไปที่อุทยานกันก่อนค่ะ บรรยากาศตลอดทางดีงามมากค่ะ พวกเราแบ่งกันนั่งหลังกระบะ 4 คน และนั่งข้างใน 4 คน ระหว่างทางมีทั้งแดดและฝน แต่ในชีวิตไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ ตื่นเต้นเป็นพิเศษ แต่ขอบอกเลยว่าบรรยากาศระหว่างทาง ไม่คิดไม่ฝันเลยค่ะว่าจะหาชมกันได้ใกล้กรุงเทพอย่างสุพรรณบุรีขนาดนี้ ไปชมภาพบรรยากาศกัน…..
โต้ลมกันสักพักเราก็จะมาถึงอุทยานแห่งชาติพุเตยค่ะ มาถึงที่ว่าคือที่ทำการค่ะ เป็นจุดที่เราจะมาเคลียค่าเข้าอุทยาน มีห้องน้ำ และมีบ้านพี่เอก เจ้าหน้าที่ๆดูแลเราค่ะ พี่เอกบอกไว้ค่ะ ว่าวันหลังคิดเมนูมาล่วงหน้าได้เลยน่ะว่าอยากกินอะไร เขาจะได้เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมมากกว่านี้ แต่แค่นี้ก็พร้อมจนเหลือแล้วค่ะ 55+ ไปชมกันว่าที่ทำการอุทยานเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่ออุปกรณ์ดำรงชีพในป่าพร้อมแล้ว เราก็มุ่งหน้าขึ้นไปบนจุดกางเต็นท์ที่อยู่บนเขาอีกทีค่ะ มันเด็ดตรงนี้แหละค่ะ 55+ ถ้าใครมีโอกาสมาแนะนำให้ลองนั่งหลังกระบะค่ะ ได้อารมณ์คนป่าสุดๆ บุกป่า ฝ่าดง ระหว่างทางโดนกิ่งไม้ฟาดหน้าไป 2-3 ทีค่ะ หน้านี้เป็นแนวเหมือนโดนแมวข่วนเลยค่ะ ไม่ใช่ว่ามองไม่เห็นน่ะ แต่คือหลบกิ่งแรกก็เจอกิ่งสอง ตลกตัวเองค่ะ ไปชมหนทางกันว่าที่นี่หน้าฝนมันมากกกก
[col4 ][/col4][col4 undefined][/col4][col4 ][/col4][col4 ][/col4]
กว่าจะขึ้นมาถึงจุดกางเต็นท์หน้านี้เป็นแนวกิ่งไม้หลายแนวมาก แต่พอขึ้นมาถึงเท่านั้นแหละ หายเหนื่อย หายเจ็บเลยค่ะ จุดกางเต็นท์คนไม่เยอะมีแค่ 1-2 ครอบครัวและรอบจุดกางเต็นท์เป็นไร่ข้าวโพด ที่มีวิวสวยๆให้ชม พูดไปก็จะหาว่าคุยไปชมดีกว่า ว่าวิวขนาดไหนถึงได้หายเหนื่อยยย อิอิ
อย่างที่เล่าไปค่ะ ทุกคนขึ้นมาก็ลงไปเดินในทุ่งข้าวโพดสักพัก แล้วก็ถยอยเดินขึ้นมากางเต็นท์กัน หลังจากนั้นไฮไลต์ของค่ำคืนนี้คือ ดินเนอร์ค่ะ 55+ เป็นดินเนอร์ที่ประทับใจมาก เพราะไม่เคยกินอะไรทำนองนี้มาก่อน กินอยู่อย่างราชาท่ามกลางทะเลหมอก กินในหมอกเลยก็ว่าได้ เล่าก็ไม่เห็นภาพค่ะ เล่าด้วยภาพกันเลยดีกว่า เลื่อนเมาส์ลงมาให้ไว ^^
บรรยากาศค่ำคืนนี้เป็นอะไรที่แบบว่า คือดีงาม 55+ กินข้าวมื้อที่อร่อยที่สุดก็ว่าได้ อาจเป็นเพราะว่าหิว >< กินข้าวท่ามกลางขุนเขา มีเพลงในผับประกอบตลอดเวลาที่กิน 55+ น้องที่ไปด้วยเป็นดีเจโซดาค่ะ นั่งไปนั่งมาหน้าเหมือนจะเปียก นึกว่านั่งท่ามกลางหมอกที่ไหนได้ฝนตกหนักมาจ้า นอนกันแทบไม่ได้ มีเต็นท์อุทยานที่พอนอนได้ ส่วนอีกเต็นท์น้ำซึมหยดเป็นระยะ เต็นท์อีกเต็นท์นี่คือน้ำป่าไหลหลากในเต็นท์จ้า 55+ นางก็นอนด้วยการใส่ถุงนอน และ ใส่ชุดกันฝนนอน เช้ามาที่ปลายเท้าคือน้ำนองขนาดที่ว่าปลาหางนกยูงว่ายได้ 55+ นั้นแหละชีวิตที่ไม่เคยเป็น
[icon type=”fa-paper-plane-o” color=”#999999″ size=”28px”] วันที่ 2 ก็มา
[divider style=”solid” height=”2px” color=”#eeeeee”]
ตี 4 แล้ว สาวน้อยที่ไปด้วยตื่นตนแรกเลยจ้า เราก็เลยตื่นด้วย ตื่นเข้ามาเท่านั้นแหละ ทะเลดาวก็มา น่าเสียดายค่ะ ลืมเอาขาตั้งกล้องไปด้วย ภาพที่ได้เลยไม่ชัดเท่าไร กำหนดการที่เราต้องรีบตื่นเพราะเราจะไปปีน เขาเทวดา กันค่ะ แต่ตื่นมาแล้วเราก็ดื่มด่ำทะเลดาวกันก่อนเลย เวลาแค่แปบเดียวอีกแล้ว หมอกก็มาบัง จุดนั้นเองพวกเราเลยเดินทางเพื่อไปเตรียมขึ้นเขาค่ะ เป็นไปด้วยความทุลักทุเลมากเหมือนกัน เพราะฝนตก ทางก็เต็มไปด้วยน้ำ รถเลยขับไปไม่ได้มาก ต้องลงเดินเร็วกว่าเดิม จากที่ต้องเดิน 800 เมตร ต้องเดิน 1.2 กม เท่าที่มีคนจับระยะทางค่ะ อ่ะตามมากัน
ระยะเวลาสั้นๆเท่านั้นค่ะ ที่เราได้เห็นวิวแบบนี้ หมอกก็ค่อยๆปลิวเข้ามาคลุมยอดเขา เทวดา ที่เรายืนอยู่พวกเราก็รอสักพักก็ไม่เห็นสักที สิ่งที่ทำได้คือ ต้องยอมเดินลงกลับไปจัดเตรียมอาหารเช้ากันต่อ การท่องเที่ยวอะไรที่เป็นธรรมชาติก็เป็นแบบนี้ค่ะ เรากำหนดมันไม่ได้จริงๆ ถือว่าเป็นสเน่อย่างหนึ่งก็ว่าได้
เวลาที่เหลือ เราก็ทำการเดินลงจากเขาค่ะ แต่ขอบอกเลยน่ะว่าลื่น แอบกลิ้งไปหลายรอบอยู่ 55+ ลงไปแล้วเราก็ต้องมาเตรียมกินข้าวเช้ากันค่ะ ซึ่งได้กินเวลาเที่ยง แต่ก็อร่อยมากอยู่ดี คือกินอะไรก็อร่อยเวลาแบบนี้
แล้วเราก็เดินทางกันต่อค่ะ มุ่งตรงไปที่น้ำตก ตะเพินคี่น้อย จังหวะที่ไปนี่ถือว่าเกิดเรื่องดีในชีวิตมากค่ะ เพราะเราออกมาจากน้ำตกแปบเดียวเท่านั้นแหละ น้ำป่าไหลหลาก รอดปลอดภัยกันมาได้ ไปชมน้ำตกกันหน่อยเนอะ
แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องโบกมือลา อุทยานแห่งนี้ค่ะ ขากลับเราเปียกกันมาก เพราะฝนตกหนัก เกรงว่ารถตู้จะไม่ให้ขึ้นรถ เราเลยต้องให้พี่เอกมาส้งที่กรุงเทพค่ะ นั่งกะบะเข้ากรุง ไม่ธรรมดาจริงๆ ใครจะไปคิดว่าชีวิตจะทำอะไรแบบนี้ แต่สนุกมากค่ะ เพราะเป็นอะไรที่ไม่เคยทำจริงๆ ขอบคุณมิตรภาพดีๆใน 2 วัน 1 คืนนี้ด้วยค่ะ ขอบคุณทุกคนจริงๆ