เที่ยวเกียวโต ทริปนี้เป็นภาคต่อจาก ทริปโตเกียว 3 วัน 2 คืน เดินทางคนเดียว และ ยาวนานมากทำเอาคิดถึงบ้าน
ญี่ปุ่น 9 วัน โตเกียว คาวากูจิ เกียวโต โอซาก้า โกเบ ครั้งแรก
รีวิวนี้ขอพูดถึงเกียวโตให้อ่านกันค่ะ เมืองนี้มีสเน่มากเลยน่ะขอบอกค่ะ ตอนที่ไป วันแรกมีเพื่อนลูกครึ่ง บราซิล&ญี่ปุ่นนำเที่ยวค่ะ ก็เลยเก็บเกี่ยวเคล็ดลับการเดินทางมาฝากกัน ส่วนอีก 2 วันที่เหลือเน้นเก็บภาพ และ เนื้อหาดีๆมาฝากกันเหมือนเช่นเคย การเดินทางที่นี่แตกต่างจากที่ โตเกียวค่ะ โดยที่นี่จะเน้นการนั่งบัส เพราะสะดวกกว่าการใช้รถไฟ อีกอย่างมีบัตรขายด้วยก็ประหยัดไปอีกแบบ ตามมาค่ะ เตรียมตัวเที่ยว[divider style=”dashed” height=”2px” color=”#eeeeee”]งบที่ใช้สำหรับเมืองนี้:
14,820 เยน หรือ ประมาณ 4,149 บาทไทย (ไม่รวมค่าที่พัก และ ค่าตั๋วเครื่องบิน)
อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 0.28 จ้า
[section background_image=”http://www.sixaugust.com/wp-content/uploads/2015/11/DSC03047-1.jpg” text_color=”#ffffff” background_color=”#ffffff”][icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px”] 2,000 Y — Kyoto sightseeing pass 2 days
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px” ] 3,500 Y — ค่าเช่าชุดยูกาตะเดินรอบเมืองทั้งวัน
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px” ] 1,500 Y — ทำผมในร้านเช่าชุด
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px” ] 3,480 Y — ค่าอาหารทุกมื้อ
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px”] 500 Y — Kyoto city bus 1 day
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px” ] 600 Y — ค่าเข้าปราสาท Nijo
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px” ] 300 Y — ค่าเข้าวัดน้ำใส
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px” ] 500 Y — ค่าเข้าวัดไดคะคูจิ
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px” ] 620 Y — รถไฟสายโรแมนติค
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px” ] 420 Y — JR กลับสถานีเกียวโต
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px” ] 400 Y — ค่าเข้าวัดทอง
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px” ] 500 Y — ค่าเข้าวัดเงิน
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px” ] 500 Y — ค่าเข้าวัด Enkoji
[/section]
ที่นี่ดีอย่าง ตรงที่ ค่าที่พักราคาโอเคมาก พร้อมคุณภาพคัพแก้วจริงๆ
[divider style=”dashed” height=”2px” color=”#eeeeee”]เตรียมอะไรบ้าง
[icon type=”fa-circle” color=”#999999″ size=”16px”] จองชุดยูกาตะที่นี่สิดี เพราะมีคนไทยดูแล : คลิกที่นี่
[icon type=”fa-circle” color=”#999999″ size=”16px”] เดินทางในเกียวโต ซื้อบัตรแบบไหนดี? และเทคนิคการเดินทาง : คลิกที่นี่
[icon type=”fa-circle” color=”#999999″ size=”16px”] พิเศษ!! แจก code ส่วนลด Booking.com 550 บาท (เมื่อจองที่พักขั้นต่ำ 1,100 บาทขึ้นไป): คลิกที่นี่
[icon type=”fa-circle” color=”#999999″ size=”16px”] สรุปราคาตั๋วเครื่องบินไปกลับโอซาก้า ใกล้เกียวโตจากเพจ Ar-pae: คลิกที่นี่
[icon type=”fa-circle” color=”#999999″ size=”16px”] สำหรับสมาชิก BIG ของแอร์เอเชีย ตอนนี้ใช้คะแนนแทนการจ่ายค่าตั๋วแอร์เชียได้แล้ว ที่หน้าสุดท้ายตอนจ่ายเงิน: คลิกที่นี่ (ได้ตั๋วคุ้มกว่าใคร ใครยังไม่เป็นสมาชิก BIG โหลดแอพ AirAsia BIG สมัครฟรี แล้วเริ่มสะสม BIG Points ได้เลย >> http://bit.ly/2lHY97G)
[divider style=”dashed” height=”2px” color=”#eeeeee”]ไปไหนมาบ้าง (อย่างละเอียด)
[section background_image=”http://www.sixaugust.com/wp-content/uploads/2015/11/DSC02691-1.jpg” text_color=”#ffffff” background_color=”#eeeeee”]เกียวโตกลาง
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px”] ของอร่อยที่ตลาดนิชิกิ: คลิกที่นี่
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px”] มรดกโลกปราสาทนิโจ: คลิกที่นี่
เกียวโตตะวันตก
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px”] รถไฟสายโรแมนติค: คลิกที่นี่
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px”] เดินเล่นป่าไผ่: คลิกที่นี่
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px”] ท่านโชกุนที่ไดคะคุจิ: คลิกที่นี่
เกียวโตใต้
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px”] อินาริ เสาประตูหมื่นต้น: คลิกที่นี่
เกียวโตตะวันออก
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px”] ชมสวน วัดเงิน: คลิกที่นี่
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px”] ตามหาเกอิชาที่กิออน: คลิกที่นี่
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px”] วัดชินเนียวโดะ: คลิกที่นี่
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px”] วัดน้ำใส: คลิกที่นี่
เกียวโตเหนือ
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px”] วิวสวย เอนโคจิ: คลิกที่นี่
[icon type=”fa-circle-o” color=”#999999″ size=”16px”] วัดทองอร่าม: คลิกที่นี่
[/section]
[divider style=”dashed” height=”2px” color=”#eeeeee”] การเดินทางเริ่มแล้ว
ตัดภาพมาที่อดีตเมืองหลวงกัน ก่อนหน้านั้นเราไปชมภูเขาไฟฟูจิ แล้วตั้งใจจะนั่ง Night bus มาที่นี่แต่จองไม่ทันเลยต้องใช้บริการรถไฟหัวกระสุนชินคันเซน โดนไปไม่น้อย แล้วรถในคาวากูจิโกะ ดันติดอีกเลยมาถึงเกียวโตประมาณ 4 ทุ่มสลดใจมากน่ะจุดนั้นเพราะเช็คอินไม่ทันที่พักที่ได้จองไว้ ต้องยอมเสียเงินฟรีๆ แล้วก็จองที่ใหม่ แล้วก็เดินทางมาที่พักใหม่
Google map เจ้าเดิมพามาทางลัดประมาณเกือบ 5 ทุ่มเดินริมคลองแบบนี้เพื่อมาที่พัก น่ากลัวจริง ๆ
แล้วตอนกลางคืนไม่รู้ด้วยน่ะว่าน้ำมันจะใสขนาดนี้ อะไรก็ดูมืดไปหมด จะรอดไหมเนี่ย สุดท้ายก็รอดปลอดภัยมาได้ ห้องใหม่ที่ได้นอนได้ 3 คนค่ะ แต่ไปคนเดียว ชอบที่ญี่ปุ่นอยู่อย่างตรงที่ ที่พักจะมีชุดนอนให้เสมอ ที่สงสัยคือชุดนอนที่ว่านี่มันใส่ยังไง ถึงกับไลน์ถามเพื่อน 55+ ตลกตัวเอง คืนนั้นเหนื่อยมากลุ้นจริงๆเลย แต่ก็นอนไม่หลับเพราะห้องมันกว้างไป กลัวอะไรไม่รู้ 55+
เช้ามาน่าตาก็ไม่เฟรช สิ่งแรกที่ต้องทำตอนนี้คือมุ่งหน้าไปที่ สถานีเกียวโต เพื่อไปพบเพื่อนที่อาศัยอยู่ที่นี่ เขาอาศัยอยู่นาโกยะ เลยอาสาพาเราเที่ยวที่เกียวโต 1 วันเต็ม วันนี้ยิ้มร่าเพราะจะมีคนถ่ายรูปให้ทั้งวัน เราก็รีบจัดการเช็คเอ้าท์ แล้วเดินไปสถานีรถไฟ เลยทำให้รู้ว่า
เมื่อคืนที่เดินแล้วมืด แล้วก็กลัว หารู้ไม่ว่ามันสวยมาก คลองแห่งนี้
บ้านเมืองแถวนี้ก็ดูเก่าแบบคลาสสิค สะอาดมาก เดินเพลินๆ ก็ถึงรถไฟใต้ดิน แต่บอกเลย skill การขึ้นรถไฟเราอัพแล้ว ไม่หลงแน่นอน มุ่งหน้าตรง สถานีเกียวโต เพื่อเจอเพื่อนผู้พลัดพราก 55+ คือเคยพาเขาเที่ยวที่ไทย เขาเลยอยากตอบแทนแค่นั้น
แล้วเราก็มาถึงสถานี เกียวโต แล้วก็พบเพื่อน นางก็พาไปซื้อ pass สำหรับเดินทางก่อนเลยอันดับแรก สำคัญจริงๆ pass ที่เราซื้อเป็น Kyoto bus 1 ใบ และ Kyoto sightseeing 2 วัน 1 ใบค่ะเอาเข้าจริงลองมองย้อนกลับไปซื้อแบบ 1 วัน 3 ใบดีกว่าประหยัดขึ้นเยอะ เพราะแทบไม่ได้ใช้รถไฟเลย นั่งรถบัสเที่ยวตลอด
ดังนั้นซื้อ Kyoto city bus จะคุ้มค่าที่สุด ถ้าใช้ 3 วัน ก็ซื้อ 3 ใบ
จากนั้นเราก็เริ่มเดินทางกัน จุดแรกที่ไปคือไป ร้านที่เราเช่าชุด ยากาตะ ไว้ที่นี่มีคนไทยดูแลด้วยค่ะ ก็เลยตัดสินใจเช่าชุดร้านนี้ ขอบอกว่าไม่ผิดหวัง เพราะ ดูแลดีมากค่ะ ชุดสวย มีคนขอถ่ายรูปคู่ตลอดทางเลย คาวาอิ๊ๆๆ เขาพูดงี้กัน เพื่อนที่ไปด้วยถึงกับบอกว่า จำไม่ได้ คุณสวยมาก แอร้ย ><
แล้วเราก็เริ่มเดินทางกันค่ะ จุดหมายแรกที่เราอยากไปคือ ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ ตอนแรกอยากไปแต่เช้ามาก เพราะจะได้ถ่ายภาพสวยๆ คนไม่เยอะ แต่นี่ก็ล่วงเลยมานานแล้ว 55+ เพราะกว่าร้านแต่งชุดจะเปิด กว่าจะมาถึง ที่นี่ยอมรับเลยค่ะว่ามายากกว่าที่อื่นตรงที่ต้องนั่ง JR มาลงค่ะ ปกติเที่ยวโดยบัส แน่นอนเมื่อมาถึงแล้วคนจะเยอะเป็นพิเศษ
มีคนเคยมาเที่ยวช่วงที่คนไทยเที่ยวเยอะๆ วัดนี้ถึงกับเหมือนวัดคนไทย 55+
แต่ที่นี่ถือว่าเป็นอีกที่ ที่คนทั้งโลกรู้จัก เกียวโต เพราะเสาประตูโทริอินี้ เป็นฉากในหนังฮอลลีวูดมาแล้วค่ะ เลยพลาดไม่ได้ประการทั้งปวง ยิ่งเดินกับเพื่อนชาวญี่ปุ่น นางก็จะคอยแปลให้ฟังว่าเสาเขียนว่าอะไร ก็รู้สึกทึ่งมากที่คนญี่ปุ่นเขาสามัคคีกันบริจาคขนาดนี้
เนื่องจากที่นี่มีเสาประตูแบบนี้เป็นหมื่นต้นกว่าจะถึงยอดเขา ที่แห่งนี้จึงแบ่งซุ้มเป็นหลายตอน เราเดินไปถึงตอนที่ 3 ได้มั่งแล้วก็กลับคือเหนื่อย 55+ แล้วอีกอย่างมันดูไกลน่ะ กับ การที่ต้องใส่ชุดแบบนี้เดิน 2 ชั่วโมงตัดสินใจเดินกลับค่ะ มาเปรมปรีดากับการกินกันดีกว่า
หน้าวัดแห่งนี้ของกิน ราคาไม่แพง ขายเยอะมาก แล้วให้เยอะด้วย
แนะนำให้ลองมากินกันน่ะ เพราะ ของกินแปลกๆก็เยอะ แล้วให้บรรยากาศงานวัดได้ดีมาก แต่เป็นงานวัดญี่ปุ่น อีกอย่างที่ญี่ปุ่นไม่เหมือนไทยตรงที่ ของกินจะขายเป็นย่านๆ แต่เมืองไทยนี่ของกินมีทุกที่จริงๆ 55+ กินเสร็จแล้วเตรียมขึ้นรถบัสเพื่อไปปราสาทนิโจต่อจ้าตามมาๆ
เอาเข้าจริงต้องต่อบัสจากศาลเจ้า กลับมาเริ่มต้นที่ ป้ายเกียวโต เหมือนเดิมเพราะว่าหลักการเดินทางในเกียวโตง่ายๆเลยคือ หลง ไปไหนไม่ถูกแล้ว มุ่งหน้ามาที่สถานีเกียวโต
เพราะสถานีเกียวโต เปรียบเหมือน อนุสาวรีย์ชัยบ้านเรานั้นเอง ทุกการเดินทางเริ่มต้นที่นี่
จากนั้นเราก็เดินทางกันต่อขึ้นบัสสาย 101 มุ่งตรงมาลงที่ Nijo-mae ได้เลย ณ จุดนี้เองที่ทำให้รู้ว่าบัตรเดินทางที่เขาบอกเนี่ยให้เสียบเครื่องตอนใช้แค่ครั้งแรกของวัน ที่เหลือถือโชว์ให้คนขับเห็นวันที่ก็พอ ไม่เข้าใจ งง ขออธิบายด้วยภาพดังนี้
เมื่อมาถึงนิโจ ขอบอกเลยที่นี่เหมาะสมมากที่จะเป็น มรดกโลก เพราะดูเก่าแต่ยังคงความงดงามได้ดี แค่เสาประตูทางเข้าทองก็ระยับแล้วค่ะ แล้วความอัศจรรย์คือ
เวลาที่เราเดินข้างในปราสาท เราจะได้ยินเสียงไม้เสียดสีกันคล้ายเสียง นก เป็นรังเลย
ข้างในเต็มไปด้วยความสวยงามสไตค์ญี่ปุ่นที่เริ่มเลือนลางไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา คือ ถ้ายังไม่ได้ไปชมก็ให้รีบไปชมค่ะ ก่อนที่จะไม่เห็นลวดลายแบบนั้นจะหายไป แล้วก็เดินออกมาชมสวนค่ะ สวนที่นี่สวยงามค่ะ ไม่กว้างจนเกินไป เดินเล่นสบายๆ
หลังจากเที่ยว ปราสาทนิโจ แล้วใกล้ๆกันจะมี พระราชวังอิมพิเรียล แนะนำเลยค่ะที่แห่งนี้วันที่ไปพลาดจริงๆ เพราะไม่เช็ค ไม่หาข้อมูลอะไรเลย เลยไม่อยากให้ทุกคนพลาดอีกค่ะ แนะนำเลยเนอะ
พระราชวังอิมพีเรียล ต้องมีการจอง ถึงจะเข้าชมได้ หรือ ไปกับคณะทัวร์
อย่าลืมเช็ควันเวลาดีๆ เพราะกว่าจะถึงตัวพระราชวัง เดินกันขาลากจริงๆ แล้วเดินไปถึงนี่ถึงกับอึ้งไปเลย 55+ เป็นห่วงทุกคนค่ะ เว็บจองดูได้จากเว็บนี้ค่ะ จองเข้าชมพระราชวัง
เมื่อพระราชวังไม่ตอบโจทย์แล้วเราก็มุ่งหน้าต่อไปที่ ตลาดนิชิกิ ยอมรับเลยว่าเที่ยวที่นี่ฟินที่สุดแล้ว เพราะมีแต่ของกินที่ตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษ ของที่ขายที่นี่ส่วนใหญ่จะผ่านการแปรรูปทั้งนั้น คือหากินอะไรแบบนี้ได้ที่เดียวว่างั้นเถอะ ที่นี่มีของเด็ดคือ
ปลาหมึกหัวโตข้างในมีไข่ ปลาดิบที่สดมากเสียบไม้ และ ผัก หมัก ดอง รสชาติแปลกมาก
ฟินมากเลยขอบอก ราคาย่อมเยา 300 เยน เป็นต้นไปเดินชิมไป กินไปก็หลายบาท 55+ ต้องอย่าลืมดึงสติกันด้วยน่ะ ด้วยความเป็นห่วงค่ะ แนะนำเลยห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
หลังจากกินอิ่มแล้วเราก็ไปต่อด้วย วัดน้ำใส ค่ะเพราะอยู่ย่านนั้นแต่เดินก็ไกลอยู่เลยนั้งรถบัสเช่นเคยค่ะ แนะนำให้ดูแผนที่ประกอบไปด้วยแล้วดูที่ป้ายรถบัสค่ะว่าสายไหนผ่าน แล้วจะผ่านวัดน้ำใส่ไหม ง่ายมากค่ะวิธีการนี้ เมื่อมาถึงวัดน้ำใสที่นี่เด่นมาก
ระหว่างทางขึ้นไปถึง วัดน้ำใส ของกินจะเยอะมาก และ แนวทางที่เดินจะเป็นบ้านแบบเก่าอยู่ อย่าลืมแวะถ่ายรูปกัน
กว่าจะเดินขึ้นไปถึงอะไรก็ดูมืดหมดแล้วค่ะ กลางคืนก็จะสวยไปอีกแบบ แต่ยอมรับเลยว่ามองเห็นแต่คนมายืนต่อแถวดื่มน้ำใสศักสิทธิ์ แล้วก็มองเห็นวิวเกียวโต ตอนกลางคืนดีไปอีกแบบ
ขากลับก็แวะชิมขนมตอนเดินลงมา เพื่อนบอกว่าขนมที่นี่มีเอกลักษณ์พิเศษ หนึบๆ มีไส้ชาเขียว และ ถั่วแดง แนะนำลองชิมค่ะ อร่อยดี แล้วก็อย่าลืม
แวะศาลเจ้า Yasaka ด้วยค่ะ เพราะอยู่ข้างๆวัดน้ำใส กลางคืนจะประดับด้วยโคมไฟสวยงาม
จากนั้นเราก็นั่งรถกลับมาที่ Gojo เพื่อทำการคืนชุดค่ะ แล้วก็เดินเท้าไปหาอะไรกินย่านนั้น ถ้าเดินกันดีๆ ก็จะไปทะลุแหล่งชอปปิ้ง กิจกรรมที่ทำคือ ถ่ายสติกเกอร์ 55+ ขอบอกเลยชอบง่ะ อยากให้เมืองไทยมีแบบนี้บ้าง
ตู้ถ่ายสติกเกอร์ที่นี่ดีตรงที่ราคา 350 เยนถ่ายได้หลายคนแต่งได้ไม่อั้น แต่งตัวเป็นอะไรก็ได้ เอลซ่า ชุดเมด ชุดตำรวจ พยาบาล มีหมดค่ะ 55+ คุ้มค่ามาก แต่ต้องเป็นภาษาน่ะ เพราะตู้กดเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด
เราเลือกเป็นสาวเมดค่ะ 55+ ตลกดีสรุปแล้วเสียงเงินคนล่ะ 30 บาทเองการถ่ายสติกเกอร์ 3 คน
จากนั้นก็ไปกินอะไรสักอย่างจำชื่อไม่ได้ค่ะ แต่เป็นของสดที่เลือกหน้าได้ มาคลุกข้าวที่เมืองไทยก็มี แต่ความสดน่าจะต่างกัน
เมื่ออิ่มท้องแล้วเพื่อนชาวญี่ปุ่นก็ชวนไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง ที่ช่วงวันเสาร์จะมีวัยรุ่นมารวมตัวกันทำกิจกรรม พูดคุยกัน และบางคนมีความสามารถก็จะตั้งวงดนตรี แสดงแถวนั้น ยอมรับเลยว่า บรรยากาศดีจริงๆค่ะ ดูมีสไตค์ และ อากาศก็ดีมาก แนะนำให้ลองเดินเล่นดู
จบค่ำคืนนี้ด้วยการลุ้นมากค่ะ เพราะโทรศัพท์แบตหมด แล้วแยกทางกับเพื่อน เดินขึ้นมาที่สถานี Gojo แต่กลายเป็นว่าเดินขึ้นมาเป็น 4 แยก แล้วที่พักฉันมันอยู่ตรงไหน เวลา 5 ทุ่มแล้วค่ะเวลานั้นน้ำตาจะไหล ยอมทักผู้หญิงคนนึงที่เดินผ่านมา แล้วเขาก็ไม่รู้ชื่อที่พักเราด้วย อาจจะสำเนียงเราไม่ได้ หรือ อะไรก็ตามแต่ ยืนถาม 20 นาทีได้เลยนึกออกว่า
เว็บที่จองได้ส่งคอนเฟิร์มมาที่อีเมล เลยยอมล็อคอินเมลผ่านโทรศัพท์เขา
คือแบบถ้าไม่ได้เขาคนนี้ก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นยังไง คือต้องยอมรับเลยค่ะ คนที่นีเขาใจดีมากจริงๆ คือไม่รู้จะขอบคุณยังไงเขาก็ดีใจไปกับเรา ถ้าเป็นไปได้ อยากเจอเพื่อจะขอบคุณเขาจริงๆ
ตัดบทมาเช้าวันที่ 25 ตุลาคม 2558
วันนี้เป็นวันที่เราจะเริ่มเดินทางคนเดียวในวันนี้ หลังจากเมื่อวานได้ทำอะไรสุดเหวี่ยงกับ เพื่อนๆชาวญี่ปุ่น อาจจะมึนงงเล็กน้อยเพราะต้องมานั่งจับหลักวิธีการขึ้นบัสที่นี่ เพราะเมื่อวานเพื่อนพาขึ้นตลอด
บัสที่นี่จะมีชานชาลา A-D มั้ง เราแค่ไปดูว่า A1 มีสายไหนผ่านอะไรบ้าง จะได้ไปยืนรอตรงนั้น
จุดมุ่งหมายที่แรกวันนี้คือ วัด Daikakuji ที่นี่ไปง่ายมากถ้าเดินทางจาก ป้ายเกียวโต ก็นั่งสาย 28 สุดสายค่ะ 55+ ง่ายเนอะ ที่นี่สวยงามดีน่ะ ไม่กว้างเกินไป เดินได้ทั่ว แนะนำให้ลองมาเดินเล่นกันค่ะ จะได้มุมมองท่านโชกุนไปอีกแบบ อากาศแอบหนาวน่ะที่นี่ เพราะอยู่ทางเหนือของเกียวโตแล้ว
ถ้าดูตามแผนที่แล้วจากวัดนี้เราสามารถไปวัดทองต่อได้ แต่เราดันไม่ไปซ่ะงั้น ง่ายๆเลยตั้งใจจะเที่ยวฝั่งตะวันออกของเกียวโต แต่อ่านชื่อวัดผิด ชีวิตเปลี่ยน 55+ เราเลยอยากออกจากตรงนี้เพื่อไปเที่ยวย่านตะวันออกต่อค่ะ ก็นั่งรถไปเรื่อยสรุปไปไม่ถึง 55+ ก็เลย
กลับมาตั้งต้นที่สถานี เกียวโต ด้วยรถไฟใต้ดิน 55+
แล้วก็มานั่งรถสาย 5 เพื่อไปที่ วัดชินเนียวโดะ แต่คือลงผิดป้าย เดินไกลเลย แล้วหลงด้วยน่ะ กว่าจะไปถึงที่นี่ เดินเกือบครึ่งชั่วโมง แต่วิวระหว่างทาน่าสนใจมากค่ะ ผ่านที่ๆคนไม่ค่อยไปกัน วัดนี้ก็อีกเช่นเคยคือ ถ้าใบไม้เปลี่ยนสีจะสวยมาก แต่สงบดี หายเหนื่อยบ้าง
เมื่อหลงทางกว่าจะหาทางกลับได้ก็สี่โมงเย็นแล้วค่ะ ห่ะเราเที่ยววันนี้ได้แค่ 2 ที่เองง แล้วที่
เกียวโต ที่เที่ยวส่วนใหญ่จะปิด 5 โมงเย็น เปิดให้เข้าสุดท้าย 4 โมงครึ่ง
เฟลมากวันนี้ 55+ เฟลกว่านี้มีอีกไหม แนะนำ เผื่อการวางแผนค่ะ เวลาไปเที่ยวพยายามลิสต์ที่เที่ยวที่ไม่จำกัดเวลาไว้ ดังนั้นแล้วเราจึงตั้งใจมุ่งหน้าไปที่ Gion เพื่อตามหาเกอิชา
มาถึงย่านนี้ทั้งทีเราก็อยากเห็น เกอิชา และ ไมโกะ ตัวเป็นๆเนี่ยแหละค่ะ แล้วก็เดินเข้าไปดู ศูนย์แสดงศิลปะของไมโกะ เห็นราคาก็แอบไม่สู้ค่ะ อีกอย่างศิลปะที่พวกนางแสดงก็เป็นอะไรที่เราไม่รู้เรื่อง เช่น การชงชา ร่ายรำ จัดดอกไม้ เลยตัดสินใจดักเจอดีกว่า
ยืนรอ 1 ชั่วโมงหน้าประตูไม้แห่งเดียวที่นี่ พบไมโกะผ่านไปผ่านมา 4 คนค่ะ สวยมาก
เวลาเขาเดินนี่สวยงามมากเลยค่ะ ราวกับนางฟ้าที่ล่องลอยมาได้เอง ดูดีมีสเน่มากค่ะ แล้วมองทะลุแป้งจริงๆเขาสวยมากน่ะ ปากนิด จมูกหน่อยดูเด็กกันมากชอบค่ะ
แล้วเราก็เดินทางกลับที่พักค่ะ คืนนี้นอนคนเดียว 55+ ปกตินอนแคปซูล แอบติดการนอนรวมกับคนอื่นเข้าแล้วค่ะ ไม่เหงา ไม่เงียบแต่ที่พักคืนนี้โอเคมากค่ะใกล้สถานีเกียวโตมากด้วย แล้วก็มีแต่ฝรั่ง
ห้องน้ำที่นี่รวมค่ะ ยืนแปรงฟันอยู่ก็จะเห็น ฝรั่งหล่อล้ำ มายืนเป่าผมข้างๆ ประสบการณ์ใหม่อีกแล้ว
ก็ยิ้มให้เป็นปกติ พูดคุยบ้าง การที่เจอนักท่องเที่ยวด้วยกัน มันเหมือนเจอคนประเภทเดียวกันเลยค่ะ คุยกันถูกคอ ฟังหลากหลายสำเนียงดีชอบๆ ส่งท้ายค่ำคืนนี้นอนหลับสบาย
เช้าแล้ววันที่ 26 ตุลาคม 2558
วันสุดท้ายแล้วที่จะเที่ยวในเกียวโต ยอมรับเลยว่าแอบเฟลกับเมื่อวานมาก วันนี้เลยไม่พลาด 55+ ออกเที่ยวแต่เช้ามากมุ่งหน้าไปที่ ป่าไผ่ ก็นั่งรถบัสสายเดิม 28 ค่ะลงป้าย Arashiyama เลยค่ะแล้วก็เดินตาม Google map เพื่อไปในป่าไผ่ แต่ก่อนจะถึงป่าไผ่ก็ผ่านศาลเจ้า ก็แวะเข้าไปดู สวยงามดีค่ะ แล้วก็เดินไปป่าไผ่
ช่วงเวลาที่ไปป่าไผ่ 7 โมงครึ่งค่ะ เจอคนแค่ 3 คนทั้งป่าไผ่
เดินแปบเดียวก็เดินไปซื้อตั๋ว เพื่อขึ้น รถไฟสายโรแมนติค ค่ะ แต่รถเริ่มออก 9 โมงเช้าก็เลยเดินเล่นแถวนั้นรออีก
ต้องขอบอกเลยว่าการนั่งรถไฟ ซากาโน่ หรือ รถไฟสายโรแมนติคนี้ ถึงกับหน้าชากันเลยทีเดียว 55+ คือมันจะเป็นรถไฟที่เป็นโครงซ่ะมากกว่า ไม่มีหน้าต่าง เพื่อให้เราได้สัมผัสวิวอย่างชัด แล้วเวลาที่มันวิ่งน่ะ ลมหนาวมาเต็มค่ะ
อากาศดี บรรยากาศข้างทางก็ดี เหมาะแล้วค่ะที่เรียกว่า รถไฟสายโรแมนติค
คนส่วนใหญ่นั่งรถไฟสายนี้ไปลงสถานีนึง แล้ว จะล่องเรือ (Hozu-gawa river boat ride) กลับมา แต่ยอมรับเลยค่ะ ค่าเรือราคาโหดใช้ได้เลยง่ะ 4100 เยนค่ะ แต่เห็นนักท่องเที่ยวชาวจีนซื้อเป็นแพคเก็จเหมือนกันน่ะ แบบขึ้นรถไฟร่องเรือราคาน่ะจะถูกลง ลองไปสืบดูค่ะ แต่เรานั่ง JR กลับเกียวโตโดยตรงเลยค่ะ แฮร่ๆ ประหยัดเวลาเพราะตอนนั้นจะเที่ยงแล้ว
รูป เรือ 4 ฤดู
เมื่อกลับมาตั้งต้นที่เกียวโตใหม่อีกครั้งเราก็มุ่งหน้าไปที่ วัดทอง ความรู้สึกเหมือนเที่ยวอะไรวกไปวนมา แทนที่จะเที่ยวตั้งแต่วันก่อนแล้วเพราะอยู่ย่านเดียวกัน ที่นี่โด่งดังมาก
ทองอร่ามมากค่ะ ยิ่งเวลาสะท้อนกับแสงแดดน่ะ สวยงามมาก
เวลาเข้ามาเที่ยวที่นี่นอกจากจะชมวัดทองแล้ว แนะนำให้ลองกินซอฟต์ครีมค่ะ ไม่มีอะไรมากเห็นคนต่อแถวเยอะ รสชาติก็ปกติค่ะ ออกแนวหวาน แต่ก็อยากแนะนำให้ลองกิน
เดินชมไม่นานค่ะ เน้นถ่ายรูปอย่างเดียวเมื่อมาวัดทองแล้ว ก็มุุ่งหน้าไปต่อที่ วัดเงิน กันต่อค่ะ นั่งบัสต่อบัสอีกทีแผนที่มีประโยชน์มากเพราะเราจะได้รู้ว่าควรนั่งจากไหนไปไหน สายอะไร เมื่อมาถึงวัดเงินทางเข้าวัดไกลเหมือนกันน่ะ
ในวัดนี้ขอบอกเลยว่าตัวปราสาทไม่ได้สวยงามมาก แต่สวนข้างในสวยค่ะ
และของกินตลอดแนวทางก่อนถึงวัดก็น่ากินทั้งนั้น มีโต๊ะแดงๆตั้งไว้ให้เราไปนั่งกินด้วยค่ะ ได้อารมญี่ปุ่นจริงๆ
ที่สุดท้ายที่เราจะแวะไปสำหรับเกียวโตคือ Enkoji เป็นอีกที่ๆ ประทับใจสุดๆค่ะ คือ ไม่เคยเห็นที่ไหนสวยแบบนี้ เห็นแต่ในภาพแต่บรรยากาศจริงๆ อากาศดีธรรมชาติ
ถ้ามีเวลาเหลืออยากจะนอนเล่นที่นี่สักครึ่งวันเลยขอบอกว่าห้ามพลาด
สุดท้ายจริงๆแล้วก็กลับไปที่สถานีเกียวโต เพื่อมุ่งหน้ากินอย่างหนักที่โอซาก้าจ้า แล้วจะรีวิวให้อ่านกัน