แม่ลาน้อย
แม่ลาน้อย ดินแดนอะไร…มีแต่ลาหรือเปล่า ? มันอยู่ที่ไหนของประเทศ ? คำถามเป็นล้านเกิดขึ้นในใจเมื่อเราได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ร่วมเดินทางกับ [Walk of The King – เดินทางพ่อ] จะมีที่ไหนในประเทศบ้างที่ผู้คนชาวบ้านจะอยู่กันน้อย ทำให้เราปล่อยใจไปกับการใช้วิถีสโลไลฟต์ได้ขนาดนี้
แม่ลาน้อย ไม่มีเส้นทางไหนที่พ่อหลวงไปไม่ถึง
จะมีที่ไหนบ้างที่เราจะได้จิบกาแฟสตาร์บัคแก้วล่ะ 35 บาทท่ามกลางขุนเขาได้ จะมีที่ไหนบ้างที่ได้กินสลัดบาร์ซิสเลอร์ในราคาเบาเวอร์ ที่นี่เป็นคำตอบ – ตามฉันมา…6 August Journey จะพาตามรอยพ่อ[divider style=”dashed” height=”2px” color=”#eeeeee”]ข้อมูลเอาไว้เตรียมตัวกัน
[divider style=”dashed” height=”2px” color=”#eeeeee”]เส้นทางตามรอยที่อยากแนะนำ
[divider style=”dashed” height=”2px” color=”#eeeeee”]เตรียมตัวพร้อมแล้วเริ่ม
การเดินทางเริ่มแล้ว เรานัดกันที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลาตี 5 ครึ่ง เอาอีกแล้วเราไปเที่ยวกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอีกแล้ว ฮ่าๆๆ คือ ทริปปีก่อนก็แบบนี้ ปีนี้ยังไม่เข็ด
น่าตาน้องๆ แลดูง่วง 55+ แต่ก็ทำงานกันเต็มที่
ทุกคนแลดูสงวนท่าที เงียบๆนั่งรอเครื่องครั้งนี้ใช้บริการ Thai Smile อีกแล้ว
ระหว่างที่เรานั่งรอนี่แหละ ทำให้เราได้รู้ว่าหึ้ยนี่เราอยู่ท่ามกลางคนดังในทริปเลยนะ หันไปข้างๆก็เป็นนักวาดภาพ Freelance ที่มีคนติดตามเกือบ 50,000 คน
ลืมเล่าไป ทริปนี้เดินทางกับพี่ มุนิน นักวาดการ์ตูนระดับประเทศ
ไม่ค่อยอวดเลย คิคิ นานนิดหน่อยก็ขึ้นเครื่อง นานมากแล้วที่เราไม่ได้บินช่วงเวลาเช้าแบบนี้แปบเดียวก็ถึง เชียงใหม่ใกล้ๆเนอะ
เมื่อมาถึงสนามบินเชียงใหม่เราก็มีรถตู้มารอรับอยู่แล้ว เพื่อมุ่งหน้าไปที่ แม่ฮ่องสอนเลย ทางทีมงานพาแวะทานข้าวที่ครึ่งทางอย่างร้าน อินทิรา ร้านดังของแม่ฮ่องสอน และอยู่ตรงกลางพอดี
แอบเห็นที่ท่องเที่ยวใน อ. แม่สะเรียง เด็ด !!
ไม่ไกลจากสนามบินเชียงใหม่ด้วย มีแม่น้ำขนาบอยู่ที่สำคัญธรรรมชาติมาก ครั้งหน้าเราจะแวะให้ได้ อิอิ
อาหารที่นี่อร่อยใช้ได้เลย ปลากรอบก็กรอบจนเคี้ยวได้ทั้งตัว ยำต่างๆรสชาติโอเค เมื่อกินอิ่มแล้วเราก็เดินทางกันต่อ เรามุ่งหน้ากันไปที่ ปลายทางอย่างแม่ลาน้อย
ระยะเวลาไม่นานนักก็ถึง มาไม่ยากนะเราว่า
แปบเดียวก็ถึง แต่ต้องไปอีก 30 กิโลได้เพื่อขึ้นไปถึง “สวนพัฒนาโครงการหลวงแม่ลาน้อย” คุณพระ !!!
ที่นี่มีลาไหม ? 55+ ชื่อก็บอกอยู่ว่าเป็นที่สำหรับโครงการหลวง ตามจริงแล้วมันก็ธรรมดามากไม่ต่างจากที่อื่นมากนัก แต่ความต่างมันมีมาจากความรู้สึกทางจิตใจเยอะ
เพราะที่นี่ มีพระราชา ที่เคยเสด็จมาโดยเดินสำรวจแหล่งน้ำ สำรวจดินตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
รู้ไหมเมื่อเจ้าหน้าที่พูดคำๆนี้จบ เจ้าหน้าที่ผู้บรรยายก็เงียบกริบไป 10 วินาที คุณรู้ใช่ไหมมันไม่ง่ายเลยที่คนๆนึงจะเดินทั้งวันไม่หยุดเพื่อลูกแบบเราจะอยู่ดีกินดี
ว่าด้วยเรื่องที่มาของที่นี่เสร็จแล้ว เราก็เดินไปชมทุกกระบวนการของโครงการหลวงแห่งนี้ คือใครๆต้องเคยได้ยินแค่ว่าโครงการหลวงไง จะอะไรล่ะ? เราก็คิดแบบนั้นแหละ แต่การจะทำอะไรได้ดีต้องมีการวางแผน
พระองค์ท่านวางแผนว่าพื้นที่ไหนควรปลูกอะไร อย่างที่นี่เป็นที่สูงก็ควรปลูกพืชเมืองหนาว
โดยวางแผนเสร็จ ก็แบ่งกล้าให้ชาวบ้านไปปลูก ปลูกเสร็จก็รับซื้อ แล้วนำมาขายทั่วประเทศ เธอรู้ไหมว่าผักที่นี่ส่งให้ MK และ ซิสเลอร์ด้วยนะ ไร้สารพิษแน่นอน ผักกรอบอร่อยเวอร์
หลายคนคงเคยได้ยินเรื่อง ธนาคารข้าว แห่งแรกของโลกก็เกิดขึ้นที่นี่ เนื่องจากชาวบ้านมีความยากจนในตอนเริ่มต้นโครงการ เลยมีธนาคารข้าวขึ้นมา หลักการง่ายๆคือ
โครงการให้ยืมเมล็ดข้าวไปปลูกก่อน เมื่อออกผลเมื่อไรก็เก็บมาคืน ส่วนที่เหลือก็ไว้กิน และ ต่อยอดไป
และปัจจุบันชาวบ้านก็แทบจะไม่ต้องยืมแล้ว เพราะสามารถมีเงินเพียงพอที่จะซื้อเมล็ดได้เอง เราว่าสิ่งที่พ่อสร้างนี้ยั่งยืนมากเลยนะ สอนเราจับปลาเลี้ยงชีพอย่างพอเพียง
แล้วโครงการมีกฎอะไรบ้าง ที่จะจัดสรรเมล็ด หรือ ต้นกล้าให้ชาวบ้านต่างๆยังไง อันดับแรกชาวบ้านต้องพร้อมที่เข้าโครงการด้วยการสมัครมา จากนั้นโครงการจะพิจารณา
โครงการจะพิจารณาว่า บ้านไหนมีแรงงานเท่าไร มีกำลังที่จะทำเท่าไร
ก็จะจัดสรรให้เท่าที่สามารถจะทำ สังเกตไหมว่าทุกขั้นตอนเมื่อมีการวางแผนก็จะประสบความสำเร็จได้สูง ว่างแผนจัดสรร วางแผนผลิต สุดท้ายก็หาช่องทางสร้างรายได้โดยการขาย พระองค์ท่านทรงมองมองการณ์ไกล มาก เรียบง่าย แต่ยั่งยืน
[col2 ][/col2][col2 ][/col2]
[col2 ][/col2][col2 ][/col2]
เมื่อเดินชมวัฎจักรของโครงการหลวงครบแล้ว ตั้งแต่ต้นกล้า ยัน การเก็บเกี่ยว ทางเจ้าหน้าที่ก็มีแปลงเล็กๆให้เราได้ลองหยอดเมล็ดกัน โดยจะมีกองดินรอเราอยู่
ภูมิปัญญาที่เราติดใจคือ แท่งไม้ 2 ขาที่จุ่มน้ำเล็กน้อยจะสามารถดึงเมล็ดมาติด แล้วก็จิ้มลงดินได้เลย คือคิดได้ไง
เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องทำแบบนี้วันล่ะ 60-70 ถาด เพื่อเป็นการเตรียมกล้า ก่อนเป็นกล้าก็ต้องเป็นเมล็ดเนอะ สนุกไปอีกแบบเนอะ
เคยรู้ไหมว่าก่อนที่ในหลวงจะเข้ามา ที่นี่เป็นแหล่งปลูกฝิ่น และ คนก็ติดกันงอมแงม ถึงกับขนาดขายลูกแลกฝิ่นก็มี และ ไม่มีข้าวกินด้วย เลยต้องปลูกฝิ่นแลกข้าวเรานี่โคตรซาบซึ้ง เมื่อเราทุกคนทดลองวางเมล็ด ล้างมือเรียบร้อยแล้วก็เดินขึ้นมา พบกับ 1 บุคคลในประวัติศาสตร์
ปู่บุญโสม อายุ 73 ปีผู้เคยเป็นผู้ใหญ่บ้าน ตอนในหลวงเสด็จมานั้นเอง
จากครั้งแรกเมื่อปี 2514 ที่พระองค์เสด็จมาครั้งแรกตอนนั้นปู่ยังเด็กอยู่ แต่ใครจะคาดคิดว่าอีกไม่กี่ปีต่อมาปู่จะได้เข้าเฝ้าในหลวงใกล้ชิดขนาดที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องจดจำ
ในปี 2522 เป็นวินาทีที่คุณปูโสมจำไม่มีวันลืมคือ พระองค์เสด็จมาที่แม่ลาน้อยอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ปู่บุญโสมมีฐานะเป็นผู้ใหญ่บ้าน ด้วยความที่ท่านเสด็จมาครั้งนี้ ผู้ว่าจังหวัดก็มา นายอำเภอก็มา คนใหญ่คนโตก็มา ปู่ก็กลัวและนั่งก้มหน้ารับเสด็จ
แต่ในหลวงเดินมาดึงมือ บอกว่าไม่ต้องนั่ง ไม่ต้องกลัว ลุกขึ้นมาคุยกัน
ปู่ก็พูดด้วยความซื่อๆ ว่าตัวแกเองไม่ได้เรียนมาเลยไม่รู้จะเรียกพระองค์ยังไง พระองค์บอกว่าเรียกฉันว่า #พ่อหลวง ก็ได้ และพระองค์ก็ฝากปู่บุญเสริม ให้เป็นผู้นำที่เข้มแข็งด้วย
ในยุคปี 2522 นั้นปู่เล่าว่าพวกเรานี่เหมือนคนป่าเหลือเกิน หัวก็มีเหา ตัวก็มีโรคผิวหนังเพราะไม่รู้จักสบู่ รวมทั้งการซักผ้าตากแดด พระองค์ก็ทรงแนะนำ พอมาถึงปี 2535 พระองค์ก็เสด็จมาอีกครั้งครั้งนี้
พระองค์มาเปลี่ยนภูเขาหัวโล้นให้เป็นป่า เมื่อก่อนเป็นคนป่า แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว
เป็นประโยคที่เล่าโดยปู่บุญโสมด้วยน้ำเสียง นิ่งๆ มีน้ำตาคลอเล็กน้อยพร้อมประโยคจบที่ว่า “คิดถึงท่านเนอะ”
แล้วพระองค์เปลี่ยนภูเขาหัวโล้นได้อย่างไรล่ะ ? จากครั้งก่อนพระองค์เดินตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ครั้งนี้ปี 2535 พระองค์ทรงแนะนำ เมล็ดพืชเมืองหนาว กาแฟ ปลูกพืชหมุนเวียนไปเพราะน้ำมีจำกัด
พระองค์เป็นถึงพระราชาจะสั่งให้คนเลิกปลูกฝิ่นเลยก็ได้ แต่พระองค์กลับส่งเมล็ดพืชเมืองหนาวมาให้ลองปลูก แล้วเห็นผลดีเป็นการพิสูจน์
ชาวเขาจึงเปลี่ยนมาปลูกพืชตามโครงการหลวง จากไร่เลือนลอยก็ทำในพื้นที่จำกัดหมุนเวียนไป ฝิ่นจึงหมดไปจนถึงวันนี้ นอกจากนั้นแล้วในหลวงยังส่งเจ้าหน้าที่ หรือ ชาวบ้านเรียกว่าครู มาอยู่มาสอนชาวเขาด้วย
ตามจริงแล้วชีวิตเราไม่ได้ต้องการเงินทองมากมายเลยสักนิด พระองค์ทรงรู้พื้นฐานที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตพวกเรา ด้วยความสุข ความพอเพียงที่ยั่งยืน กว่า ทรัพสินเงินทองเป็นไหนๆ
เรารู้สึกโชคดีมากที่ได้เกิดในแผ่นดินของรัชกาลที่ ๙
วันแรกของทริปนี้ก็จบลงไป พวกเราก็มุ่งหน้าไปที่ เฮินไต รีสอร์ท ที่พักที่โด่งดังมากบนแม่ลาน้อย อิ่มเอิบใจอย่างบอกไม่ถูก และ เรื่องราววันนี้ก็ยิ่งตอกย้ำคำตอบ “ว่าทำไมคนไทยถึงรักในหลวงขนาดนี้”
บรรยากาศในยามค่ำคืนของที่นี่ มีดาวเต็มฟ้า และ มีลานดูดาวให้พวกเราได้ทำกิจกรรมร่วมกันยามค่ำคืนด้วย คืนแรกก็เป็นกิจกรรมรอบกองไฟ ตอนนี้เราว่าพวกเราก็เริ่มคุ้นเคยกันแล้ว
น่าจะเป็นอีกคืนที่พวกเราอิ่มเอิบใจมากในชีวิต เพราะเรารับรู้เรื่องราวที่แสนประทับใจร่วมกัน
แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยตื่นมาชมบรรยากาศยามเช้ากัน คืนนี้ลาตรีสวัสดิ์
ตื่นเช้าขึ้นมาท่ามกลางหุบเขา และ ต้นข้าว อาหารเช้าของพวกเราเป็น อาหารเช้าที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่ที่พิเศษไปกว่านั้นคือ สลัดบาร์ซิสเลอร์ เวอร์ไปไหมเธอ
ก็จริงนะเธอ สลัดผักที่นี่กรอบ สดอร่อยมาก สมคำล่ำลือว่าส่งให้ ซิสเลอร์ และ MK จริงๆ
โปรแกรมการเดินทางของพวกเราวันนี้คือ “บ้านห้วยหอม” ดินแดนสตาร์บัค และ เหล่าฝูงแกะ
รับประทานอาหารเรียบร้อยก็มุ่งหน้าขึ้นไปที่ บ้านห้วยหอม กันต่อทางเดิม 30 กิโลเมตรเหมือนเดิม แต่สำหรับใครที่อยากประหยัดเวลาการขึ้นลงเขา ก็พักที่ Home stay ห้วยหอมได้เลยราคาถูกเวอร์
วันนี้เราจะมาเดินตามรอยพ่ออีกที่หนึ่ง ที่ไกล และ ชันใช้ได้เลย
ที่มาที่ไปของที่แห่งนี้ก็สร้างความประทับใจไม่แพ้กัน ตั้งแต่ต้นๆเลย เหล่า มิชชันนารี ที่เจตนาจะมาประกาศศาสนาที่เขามาทางพม่าได้นำพาอาชีพดีๆมาสู่ชาวบ้านที่นี่คือ เลี้ยงแกะ
เมื่อมีการเลี้ยงแกะ ก็มีการทอผ้าขนแกะขึ้นถวายในหลวง ท่านจึงรู้ว่าบริเวณนี้ก็มีประชากรของพระองค์อยู่เช่นกัน ท่านจึงเสด็จมาที่นี่ พร้อมทั้งสำรวจพื้นที่บนเขา ครั้งนี้มีพี่มะลิวัลย์ พาเราเดินตามรอยพระบาท
เราเริ่มต้นที่ โฮมสเตย์ ห้วยหอม ค่าที่พักคนล่ะ 150 บาทเท่านั้น
แล้วพี่มะลิวัลย์ก็นำเราไปชม แหล่งกาแฟที่ขึ้นชื่อว่า สตาร์บัค ก็ยังมารับซื้อจากที่นี่แต่ยังไม่ทันเข้าป่า ก็เจอบ้านหลังนึงเก่าๆ ที่ในหลวงและพระราชินีเคยประทับพักหลายชั่วโมง
แล้วเราก็เดินเข้าป่ากันไป เมล็ดกาแฟเหล่านี้เป็นเมล็ดที่ได้รับพระราชทานมานั้นเอง เป็นเมล็ดพันธุ์ดี แล้วแค่พันธุ์ดีแค่นั้นหรอที่ทำให้เป็นสตาร์บัคได้ ? ไม่ใช่แค่นั้นแน่นอน
กาแฟที่ดีต้องปลูกเหนือระดับน้ำทะเล และ ปลูกในป่า !!!
เพราะความเย็นของป่าจะทำให้ เมล็ดกาแฟสุกช้าเป็นการบ่มกลิ่น และ ความเข้มไปในตัวนั้นเอง สิ่งเหล่านี้ทำให้ชาวบ้านห่วงแหนป่า และ แหล่งน้ำเท่าชีวิต
แต่กว่าจะมีวันนี้ กว่าจะมีอาชีพอีกอาชีพที่เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ก็มาจากโครงการตามแนวพระราชดำริของในหลวง ท่านทรงเป็นห่วงเรื่องน้ำที่สุด โดยในยุคสมัยนั้นไม่มีใครเข้าใจมากนัก
มีคนต้องมีน้ำ มีคนต้องมีป่า ถ้าไม่มีทั้งสอง เราจะอยู่กันได้อย่างไร ?
คำเหล่านี้เป็นสิ่งที่พ่อหลวงตรัส และ เป็นห่วงชาวเขาที่ห้วยห้อม แต่น้อยคนนักที่จะเข้าใจเพราะทุกคนคิดว่ามีเพียงพอแน่นอนๆ แต่มีชายคนหนึ่งที่เชื่อคำพ่อสอน นั้นก็คือคุณพ่อของพี่มะลิวัลย์นั้นเอง
คุณพ่อของพี่มะลิวัลย์ใช้เวลา 15 ปีในการขุดสระน้ำบนเขาแห่งนี้ด้วยจอบอันเดียว !! อะไรนะ? ตอนได้ยินแล้วขนลุกเลย เพราะคุณพ่อพี่มะลิวัลย์จำคำพ่อสอนย้ำเตือนตัวเอง “ไม่มีน้ำ เราจะอยู่ยังไง” นั้นเอง
ท่านใช้เวลาขุดตั้งแต่ปี 2521 – 2530 ทุกวันมีดินถล่มมาทับก็ขุดใหม่จนได้บ่อน้ำ
ความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ของคนๆนึง ที่มีต่อคำพ่อสอน กลายเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตคนทั้งหมู่บ้านได้จริง เพราะน้ำแห้งแล้งขึ้นจริง กลายเป็นทุกคนก็ซึ้งถึงคำพูดพ่อ และ ช่วยกันดูแลบ่อนี้จนทุกวันนี้
แล้วพ่อหลวงก็สอนให้พวกชาวบ้านรู้จัก ประปาธรรมชาติ เพราะที่นี่มีไม้ไผ่พันธุ์ใหญ่อยู่เยอะ ยังไม่ค่อยมีท่อ pvc เข้าถึงนักในหลวงจึงแนะนำให้ใช้ไม้ไผ่เป็นท่อแทน
ท่านทรงเป็น นักคิด นักพัฒนาอย่างแท้จริง
ชาวบ้านจึงมีน้ำใช้กันถ้วนหน้า จากระบบน้ำธรรมชาติแบบนี้นั้นเอง พวกเราเดินไปไกลพอควรแล้วก็กลับลงมา มีต้นกาแฟตลอดทางจริงๆ
กระบวนการถัดไป นั้นก็คือ การนำเมล็ดกาแฟที่เก็บมาล้าง และ ตำเพื่อเอาเนื้อออกซึ่งขั้นตอนทำแบบนี้ ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ เพราะความหอมของกาแฟจะหอมกว่าเอาไปตากแห้ง จากนั้นล้างจึงตากแห้ง
รู้ไหม ? ห้วยห้อมเป็นหมู่บ้านปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และส่งผลผลิตไปยังสหรัฐอเมริกาให้มากที่สุด
ปกติแล้วระยะเวลาตากแห้งเป็นวัน หรือ บางที่ก็บ่ม แล้วนำไปคั่วเป็นกาแฟดำๆ แต่ขั้นตอนต่อไปก็จะส่งไปอเมริกา เพราะทางสตาร์บัคจะมีสูตรในการทำ นั้นก็เป็นที่มาของกาแฟอาราบิกก้านั้นเอง
กว่าจะไปชมเขาคั่วกาแฟ เราก็พักทานข้าวกันสักก่อน โดยมื้ออาหารนั้นถูกจัดโดย โฮมสเตย์ อร่อยแบบบ้านๆ ทีเด็ดที่เราชอบสุดๆของอาหารมื้อนี้คือ
มีผักที่หากินไม่ได้ในเมืองหลวง มีปลาทอดที่จับมาจากบ่อ มีไข่เจียวแน่นๆพร้อมเสริฟ และ ที่สำคัญมีข้าวที่ปลูกเอง สีเอง ตำเอง แบบไม่มีสารพิษให้กิน
ห่อกลับบ้านได้ไหมคะ 55+ คิดในใจ เพราะข้าวที่ทำเองมันจะอร่อยกว่าข้าวที่เราซื้อตามห้องแน่นอน ชีวิตดี๊ดีเนอะ กินของสด สะอาด ไร้สารพิษ ที่สำคัญอร่อยเวอร์วัง น้ำพริกถั่วเน่า น้ำพริกหนุ่มมาหมดมื้อนี้
เรามีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงได้ ในการจิบกาแฟ เดินชมนา เมื่อกี้เราพูดถึงข้าวไร้สารพิษ ที่คนที่นี่เขาปลูกเองกับมือ เราก็เดินไปข้างหลังบ้านที่ต้อนรับพวกเรา โอ้แม่เจ้า !!!!
นาขั้นบันไดสีทองอร่ามรอพวกเราอยู่ วิวร้อยล้านค่ะ อยากยกบ้านมาที่นี่ 55+
ทุกคนต้องมาถ่ายกับวิวนี้ ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึง (เราได้กล่าวไว้ 55+)
นั่งอยู่สักพักก็ได้กินหอมจากกาแฟ ดื่นตามกลิ่นไปอย่างกับสุนัข 55+ แล้วบาทิสต้าสุดหล่อก็มา คุณลุงผู้มีเครื่องชงกาแฟ พร้อมลูกมือสุดน่ารักลูกหลานแกเอง มารับออร์เดอร์กาแฟ
อาราบิกก้าเดียวกับ สตาร์บัค ในราคาแก้วล่ะ 35 บาท
โคตรเข้ม คืนนี้ตาค้างแน่ๆ มีหลายเมนูนะ ลาเต้เอย มอคค่าเอย เอาเข้าจริงเราก็ไม่รู้หรอกอะไรเป็นอะไร แต่กาแฟที่นี่เข้มเลยนะ ไม่เปรี้ยวเหมือนท้องตลาด ละมุนลิ้นมากค่ะ
[col2 ][/col2][col2 ][/col2]
[col2 ][/col2][col2 ][/col2]
นี่เป็นเซลล์ขายกาแฟป่ะเนี่ย 55+ ไม่นานนักเราก็ต้องมุ่งหน้าสู่เส้นทางตามรอยพระบาทอีกทาง นั้นก็คือทางไปดูน้องแกะ โดยที่นี่ตอนแรกมีมิชชันนารีให้มา 5 ตัว แล้วพระราชินีพระราชทานให้อีก 20 ตัว
เดินข้ามเขาไป 1 ลูกได้กว่าจะเจอน้องแกะ แต่แปบเดียวไม่นาน
แต่เขาเลี้ยงแบบธรรมชาติกันมากๆเลย คือเอาไปเลี้ยงบนเขา เป็นไม้กั้นเล็กๆ ยังแอบสงสัยว่าไม่กลัวงูเข้าคอกหรอ T T
แล้วก็มีแกะผู้เป็นเหยื่อ 55+ อย่าเรียกว่าเหยื่อเลย มันคงสบายตัวแหละถ้าโดนตัดขน ก็มีการนำแกะมา 1 ตัวใหญ่ ปิดตา มัดขา 4 ข้างเพื่อมาทำการสาธิตตัดขนแกะ
ขนแกะหนาๆ แหวกๆ แล้วก็ใช้กรรไกรแนบกับโคนขน แล้วตัด ฝึบ
คุณพระ ถ้าเราเป็นแกะนี่มีเสียว เสียวหนีบเนื้อ 55+ ไฮไลต์ของช่วงที่เราไปคือ มีลูกแกะเพิ่งเกิดเลยสายรกยังติด แม่แกะยังมีเลือดติด และมีลูกแกะเพิ่งเกิดได้ 2 วัน เสร็จพวกเรา อิอิ
เจ้าลูกแกะ 2 วันตัวนี้มันขี้อ้อนมาก มันเดินไม่ค่อยทันฝูง ทุ่งหญ้าก็กว้างเหลือเดิน เดินหาแม่ก็ไม่เจอ แล้วก็ให้คนอุ้ม อุ้มแปปๆก็หลับคามือซ่ะอย่างงั้น โอ้ยหลับนานอย่างกับเบบี้
น้องแกะที่นี่ไม่ดุเลย ให้อุ้ม วิ่งเล่นตามทุ่งหญ้ากว้าง ๆ
เราก็อยู่บริเวณนี้สักพัก บางคนก็วาดรูป บางคนถ่ายภาพบรรยากาศที่เห็น ชิลดี ไร้ผู้คนเพราะมีแต่พวกเรา เส้นทางตามรอยเสด็จนี้ชันมาก
ขาลงนี่เราขอไม้กระดานคนละอันได้ไหม เพราะมันชันมาก เกร็งเขา 55+ สูงชันและอันตราย คิดถึงพ่อหลวง ท่านเดินเร็ว ขึ้นเขาลงเขาไวมาก ท่านลำบากมาก
แค่อยากให้ประชาชนอยู่ดี กินดี วันนี้ทุกหยาดเหงื่อของพ่อ เกิดผลมหาศาล
เดินไปก็คิดไป คุณต้องมาลองตามรอยพระบาทท่านนะ แล้วคำถามที่เคยสงสัยจะหายไปเลย
ลงมาที่บ้านที่ต้อนรับเราอีกครั้ง หลังจากได้ขนแกะมาแล้ว เราก็มาสู่กระบวนการขั้นตอนต่อไป คือ การนำขนแกะมาสาง ให้ได้เส้นใยที่พร้อมปั่นเป็นด้ายขนแกะ
ขั้นตอนเหล่านี้ยากใช้ได้เลย แรงงานมือล้วนๆ ส่วนผ้าที่ได้ก็อุ่นสบายแน่นอน
เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เกิดขึ้นได้เพราะมีพ่อหลวง และ แม่หลวงส่งเสริม
[col2 ][/col2][col2 ][/col2]
แล้วภารกิจตามรอยพระบาทวันนี้ก็จบลง ด้วยเรื่องราวของ น้องแกะพระราชทาน สร้างอาชีพให้ชาวห้วยห้อม เรารู้สึกอิ่มเอิบใจมากเลยนะ ที่ได้มาลงดูงานของพ่อ สิ่งที่พ่อสร้างไว้
เรื่องราวครั้งนี้คงจะเอาไปเล่าให้ลูกให้หลานฟังแบบไม่จบสิ้น ว่าครั้งหนึ่งในชีวิต ฉันได้เกิดในสมัยกษัติรย์ที่ยิ่งใหญ่อย่างรัชกาลที่ ๙
แล้วเราก็อยากให้ทุกคนมาตามรอยกัน เราจะได้รู้ว่าพ่อรักเราขนาดไหน – 6 August Journey