ทีลอเล (Tee lor lay) | ดินแดนลึกลับ คุ้มค่าที่จะไป

January 14, 2018
3.3K views
26 mins read

ทีลอเล – ปกติแล้วถ้าพูดถึงชื่อนี้ หลายคนอาจจะแค่คุ้น เพราะมันไม่โด่งดังเหมือน ทีลอซู อีกเรื่องราวเล่าขาน ที่เขาว่ากันว่าที่นี่ยากในการเข้าถึง จึงทำให้ที่นี่ไม่ค่อยโด่งดัง แต่เชื่อเราสิที่นี่มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่ ที่ทำให้ใครหลายคนต้องยอมลำบากเพื่อที่จะไปเห็นด้วยตา ตามเรามา 6 August Journey จะพาไป

 

[divider style=”dashed” height=”2px” color=”#eeeeee”]ข้อมูลเอาไว้เตรียมตัว

[tdivider style=”fa-star” color=”#222222″]

[icon type=”fa-modx” color=”#999999″ size=”16px” style=”circle_thin” link=”” new_window=”true” ] Friday – 19:00 เริ่มเดินทาง
อย่างที่เราเล่าเลย การเดินทางครั้งนี้ ไม่ต้องแพลนเอง ติดต่อรถตู้ชำนาญทาง และ ไปเป็นกรุ๊ปทัวร์ ครั้งนี้เราเริ่มเดินทางจากปั้๊มน้ำมัน ที่ใกล้ BTS สถานีสนามเป้า หลับบ้างตื่นบ้าง ระหว่างทางแวะทานอาหารรอบดึกบ้าง ในที่สุดก็ขึ้นมาถึง อุ้มผาง ในเวลา 06:00 ได้

ระหว่างทางมีแวะชมวิวแปบนึง อากาศหนาวสั่นใช้ได้เลย ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปที่พักอย่าง คำสิงห์โฮมสเตย์ ทีมงานพี่คำสิงห์จะดูแลเราทั้งหมดใน 3 วัน 2 คืนนี้ เรามาแบบไม่รู้อะไรมาก รู้แต่ว่าเตรียมตัวล่องเรือเข้าไป ดังนั้นสิ่งที่ไม่ใช้ในระหว่างวันเราต้องให้ช้างเป็นคนขนไปแทน

อะไรที่เปียกน้ำได้ ก็ใส่กระเป๋ากันน้ำไป 55+ จะพูดทำไมเนี่ย สรุปว่าข้าวของที่ไม่ใช้ระหว่างวันก็ให้ช้างตัวใหญ่ๆ ขนของเข้าป่าไป ส่วน โทรศัพท์ กล้อง ของใช้ระหว่างวันก็ใส่กระเป๋ากันน้ำไป ระหว่างนี้ก็ทานอาหารเช้ามื้อแรกกันไปก่อนเลย อร่อย ตุนไว้เยอะๆ

ทานเสร็จแล้วก็ขึ้นรถกันได้ รถสองแถว อย่างหนาวเลยจ้า กว่าจะไปถึงจุดลงน้ำก็ 10 – 15 นาทีได้ใครคิดจะตามรอย แนะนำให้แต่งตัวให้มิดชิด เพราะหนาวมาก 55+ คือเราเข้าใจว่าเราจะเปียกทั้งวัน เลยพยายามใส่อะไรที่แห้งงาน ผิดคาดสุดๆ หนาวเวอร์

ก่อนเข้าอุทยานจะมีแวะจอดร้านขายของชำ ไอเท็มลับที่แนะนำให้ซื้อคงเป็นเบียร์ เพราะระหว่างล่องเรือจะช่วยสร้างบรรยากาศได้ดี ขนมทั้งหลายเตรียมมาได้แต่ควรกินให้หมดก่อนทานอาหารเที่ยง แล้วเราก็มาถึงต้นทางในการที่จะเริ่มล่องเรือไปเรื่อยๆทั้งวัน

การล่องน้ำเข้าไปเราต้องนั่งเข้าไปทั้งวัน ช่วงแรกๆก็จะหนาว เพราะแดดยังส่องไม่ถึง แต่เมื่อสายๆหน่อยแดดมาแล้วก็ยังหนาวอยู่ดี 55+ แล้วจะพูดทำไมเนี่ย เอาเป็นว่าช่วงแรกก่อนเที่ยงเราจะล่องไปเรื่อยๆ น้ำจะไหลไปแบบไม่ฮาร์ดคอเท่าไรนัก

ทีลอเลทีลอเลมาถึงช่วงพักกลางวัน เราต้องแวะจอดทานข้าวที่ไหนสักที่ ก่อนที่จะเข้าสู่โหมดโหดล่องแก่ง ข้าวที่นี่จะออกแนวเป็นข้าวห่อใบตอง กระเพราะไก่ และ ไข่ต้มอร่อยใช้ได้ แต่ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ถือว่ายังไหว ก่อนที่จะเข้าสู่โหมดล่องแก่ง ที่ชื่อแก่งแต่ละแก่งมีตำนาน ไม่ว่าจะเป็น เลกะติ แก่งเจ็ดหมื่น แก่งบันได น้ำตก แก่งหินหยด แก่งหักศอก และ คนมอง

ทีลอเลทีลอเลความลืมเอากล้องถ่ายในน้ำไป เลยไม่สามารถเก็บภาพมาเผื่อได้จริงๆ แต่มันก็เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ สำหรับการล่องแก่ง ระหว่างทางเรือเรามากัน 3 ลำ อีกลำเก็บผักริมน้ำมาเรื่อยๆ ส่วนลำเราก็หาปลา คือเขาจะวางเหยื่อไว้ ก็ดูเรื่อยๆจุดไหนมีปลามาติด แล้วก็มาถึงจุดที่จะพัก

เก็บของให้เรียบร้อย เพราะเราต้องไปกันต่อ เพื่อมาเจอจุดไคลแม็กซ์ของทริปนี้เลยก็ว่าได้อย่าง น้ำตกทีลอเล ความงดงามคงเป็นม่านน้ำตก ที่เราว่าในเมืองไทยหาน้ำตกแบบนี้ยาก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นน้ำที่ตกกันอย่างจริงตัง แต่นี่มาเป็นม่านๆ สวยงามตามภาพ

ทีลอเลทีลอเลทีลอเลเมื่อผ่านม่านนี้ไป เราก็จะมาเจออีกน้ำตกที่ยิ่งใหญ่สวยงาม แม้จะไม่ใหญ่เท่าทีลอซู แต่มันก็ทำให้เราได้ใกล้ชิด เราสามารถขึ้นไปปีนได้ แต่น้ำเย็นมากๆ คือหนาวอยู่แล้ว เจอน้ำแบบนี้ไปอีก โดยที่พี่ๆลุงๆที่พาเราพายเรือมาบอกว่า เล่นให้เต็มที่เลยตรงนี้สนุก

ทีลอเลหลังจากปีนๆ เล่นๆกันก็ถึงเวลาที่ต้องพายเรือทวนน้ำกลับ !!! ใช่พายเรือทวนน้ำที่แรง และปลายน้ำตกแห่งนี้ก็เป็นเหว ที่น้ำจะตกลงไป เราต้องช่วยกันพายอย่างไม่คิดชีวิต พวกเราก็อาศัยเกาะกิ่งไม้ข้างๆลำน้ำไปบ้าง มีคนทำเชือกไว้ก็เกาะไปบ้าง จนไปถึงจุดที่สามารถอาบน้ำสระผมได้ 55+ สุดท้ายก็ต้องลงเดินเพราะเรือทวนน้ำไปไม่ได้หมด

ช่วงการเดินก็เดินยากพอสมควร เพราะมันไม่ใช่ทางเดิน มันคือริมน้ำจริงๆ เราต้องเกาะๆ เดินๆ กว่าจะมาถึงหิวมาก !! เมื่อมาถึงจุดพักหลายคนก็ไปอาบน้ำริมน้ำต่อบ้าง บางคนก็หามุมสงบในการวางหลุมระเบิด บางคนก็เอาลำโพงส่วนตัวมา ก็ฟังเพลงกันไป แต่พี่ๆที่ดูแลเราเขาก็เตรียมอาหารเย็น

เราขอบอกเลยว่า อาหารที่นี่อร่อยทุกมื้อ ไม่มีมื้อไหนที่ไม่อร่อย !!! เลี้ยงดูอย่างดีจะลำบากอีกทีก็ตอนเช้า ก่อนที่จะเดินป่าก็ต้องขับถ่ายก่อน 55+ มันยากจริงๆในป่าเขา กว่าจะหาจุดที่ขับถ่ายแล้วสบายใจ ไหนจะหญ้าทิ่มตูด 55+ อาหารเย็นในป่าประทับใจมาก ตกท้ายด้วยขนมหวาน ฝักทองกะทิ ที่ต้มจากกระบอกไม้ไผ่ อร่อยลืม

[tdivider style=”fa-star” color=”#222222″]

[icon type=”fa-modx” color=”#999999″ size=”16px” style=”circle_thin” link=”” new_window=”true” ] Sunday – 07:00 เช้าของการเดินออกจากป่า

ทีลอเลเช้าแล้ว หาที่ขับถ่ายแปบ เป็นอะไรที่แบบว่า ข้อเสียของการเข้าป่ามันก็งี้แหละ 55+ อีกเรื่องคือเอาน้ำขวดที่กินได้มาล้างหน้าแปรงฟันไปพลางๆ ด้วยความที่เราอยู่ในหุบเขาแน่นอนว่าแทบไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น แล้วอากาศก็ชื้น เสื้อผ้าไม่แห้ง แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป

อาหารเช้าวันนี้มีกบผัดเผ็ดด้วย 55+ คือลุงเดินหายไปในป่า แล้วในเสื้อแกก็มีกบออกมา 3-4 ตัวได้ กบก็กระโดดหนีตายกัน ตามจริงอาหารเช้าเป็นข้าวผัด แต่ผัดกบเป็นของแถม แล้วลุงๆก็ทำอาหารเผื่อตอนกลางวันด้วยเลย อร่อยทุกมื้อเราคอนเฟิร์ม !!!

อาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มเดินออกจากป่าแห่งนี้ได้ บางเสียงก็บอกว่าที่นี่ 18 กิโลเอง บางเสียงก็บอกว่า 24 กิโลได้ แต่ความพีคของการเดินเราขอยกให้เป็น 2 กิโลเมตรแรก เพราะชัน และ ชันตลอด !! เหนื่อยมาก และ พักบ่อย คือเข้าใจว่าต้องขึ้นเขาเพื่อออกไป

เดินแล้วเดินอีก ถอดเสื้อก็แล้ว ใส่เสื้อก็แล้วก็ไม่ถึงเสียที การเดินป่าครั้งนี้จะมีช้างขนสัมภาระออกจากป่าให้ และ อาหารกลางวันช้างก็ขนเช่นกัน เดินไปเกือบบ่ายได้กว่าจะถึงจุดพักกินข้าว ซึ่งเป็นทางน้ำไหลพอดี อย่างกับโอเอซิส เย็นสบาย ตอนนี้เป็นผู้หิวโหย

อาหารกลางวันในป่า ข้าวถุงใหญ่ ไข่ปลอกเอง ไก่ทอดไม่อั้น ที่สำคัญน้ำพริกปลากระป๋องอร่อยมาก มาเป็นสโลแกนเลย ความกินดีอยู่ดี อาหารทำให้เราลืมความเหน็ดเหนื่อย ก็เวอร์ไป !! แต่ที่ชอบคือที่นี่เขาใช้กระบอกไม้ไผ่ ต้มน้ำแล้วเอามาชงโอวัลตินกินกันด้วย

ทีลอเลทานเสร็จแล้วนั่งพักสักนิด ก่อนที่จะเดินทางกันต่อ แต่พี่ๆทีมงานยังนั่งกินกันอย่างเอร็ดอร่อย เลยแอบไปถ่ายรูปอาหารพวกแก เพราะอาหารเราหมดแล้ว 55+ ถือเป็นการเดินป่า ที่ดี อาหารพร้อม มีแรงเดินต่อไป ด่านต่อไปของการเดินคือ การต้องเดินผ่านลำธาร แอ่งน้ำ เกือบ 20 จุดได้

ดังนั้นใครแพลนว่าจะมาเดินป่าที่นี่ เราแนะนำให้ใช้รองเท้าเดินป่าที่พร้อมเปียก เราลืม !!! เลยหลีกเลี่ยงที่จะไม่เปียกแต่ก็ไม่รอด แล้วค้นพบว่า น้ำเย็นมาก 55+ รู้งี้ให้รองเท้าเปียกตั้งแต่แอ่งแรกก็ดี

ทีลอเลระหว่างทางก็ถามพี่ที่เดินด้วย ว่ากี่โลแล้ว กี่โลแล้ว เอาจริงๆมันอาจจะคลาดเคลื่อนสักนิด แต่จับดูแล้วประมาณ 23.71 กิโลเมตร คุณพระ !!! เอาจริงแล้วเราไม่เตรียมฟิตร่างกายมาเลย 55+ คือขาแทบหลุดแล้วจะได้ยินคำว่าอีก 3 กิโล อีก 3 กิโล มาเป็นระลอก

แล้วก็มาถึงปลายทาง ทางพี่คำสิงห์ส่งรถมารับ โดยมีเป็ปซี่เย็นๆรอต้อนรับเราอยู่ มันเป็นเป็ปซี่ที่อร่อยที่สุดในโลก !! แล้วเราก็มีชีวิตรอดกลับมาเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ทุกคนได้อ่านกัน 55+ เรารีบใหแฟนพี่คำสิงห์โทรจองหมอนวดเลย โดนไป 1 ชั่วโมงช่วยได้บ้าง แทนที่จะหลับจะนอน พวกเราก็เรียกเสียงฮาด้วยแอพ ชาเย็น

เป็นการพักร้อนที่นอกจากเหนื่อยเดินป่าแล้ว ยังต้องมาขำจนเหนื่อยอีก 55+ ชีวิตค่ำคืนนี้ก็นอนโฮมสเตย์คำสิงห์กันแบบสบายๆ มีน้ำให้อาบ มีห้องน้ำให้เข้า เตรียมตัวไป ดอยหัวหมด กัน

[tdivider style=”fa-star” color=”#222222″]

[icon type=”fa-modx” color=”#999999″ size=”16px” style=”circle_thin” link=”” new_window=”true” ] Monday – 05:40 ไปชมดอยหัวหมด
เราตื่นกันมาแบบไม่เหน็ดเหนื่อย อาจเป็นเพราะเมื่อคืนหลับสนิทมาก 55+ รีบตื่นเพื่อมาดูทะเลหมอกที่ ดอยหัวหมด เขาจะมี 2 จุดให้ขึ้นเดินใกล้เดินไกลต่างกันแค่นั้น เราเดินใกล้ๆกันเพราะเกือบไม่ทัน 55+

ดอยหัวหมดดอยหัวหมดเอาจริงๆที่นี่ไม่มีอะไรเลย มีแค่ให้ชมทะเลหมอกจริงๆ แล้วคนก็ไม่ค่อยเยอะด้วย อาจเป็นเพราะที่นี่ห่างไกลผู้คน ทำให้คนมาน้อย แต่ก็พบร่องลอยการขึ้นมาแคมปิ้งบนนี่เช่นกันนะ บรรยากาศที่นี่ดีเลยแหละ มองไปก็จะเห็นแต่ธรรมชาติ

ดอยหัวหมดดอยหัวหมดก่อนลงจากดอย เราก็ขอถ่ายภาพหมูู่ผู้รอดชีวิตในทริปนี้กัน พวกเราเป็นโปรแกรมเมอร์ ที่ใกล้ชิดธรรมชาติกันสุดๆ แล้วก็เที่ยวกันมันสุดๆเช่นกันสำหรับทริปนี้ ยินดีที่ได้เที่ยวด้วยกันนะทุกคน

ดอยหัวหมด

ก่อนกลับ ก็อาบน้ำทานอาหารเช้าที่ทางโฮมสเตย์จัดให้ ดีงามทุกมื้อ ถือเป็นอีกเรื่องประทับใจในทริปนี้เช่นกัน ระหว่างลงจากอุ้มผาง ก็แวะน้ำตกพาเจริญ ก่อนที่จะยิงยาวมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ เป็นทริปที่สุดติ่งจริงๆเลย

น้ำตกพาเจริญ

Khun Peung (6 August Journey)

6 August Journey เป็นผู้หญิงสาย IT ที่ชอบท่องเที่ยว และ ชอบการ Staycation เป็นชีวิตจิตใจ รวมทั้งยังชอบลิ้มลอง Hotel Dining + Omakase โดยเน้นให้ข้อมูลที่ละเอียดสำหรับทุกคนไปตามรอยได้

Don't Miss